Call Me Shadow: The Ancient Thai Order – Chapter 3
เรียกข้าว่าเงา – Chapter 3: การเดินทางสู่ถ้ำบรมครู
ลมกลางคืนพัดเย็นจนอินรู้สึกหนาวถึงกระดูก
ดวงตายังปรับกับความมืดไม่ทันเมื่อถูกศิษย์สำนักเขาอ้อคนหนึ่งดึงออกจากกุฏิอย่างเงียบเชียบ
เสียงฝีเท้าของพวกเขาเบากว่าที่ควร
อินมองไปด้านหลัง
เห็นวัดและหมู่บ้านเล็ก ๆ ถูกหมอกกลืนหายไปทีละน้อย
รู้ดีว่านั่นคือครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้เห็น
ศิษย์สำนักเขาอ้อร่างสูงปิดหน้าด้วยผ้าดำ
พาเด็กอีกสามคนเดินแถวเรียงหนึ่งกลางป่ามืด
บางคนสะอื้นเบา ๆ แต่ถูกสั่งให้กลั้นเสียงทันที
อินได้ยินเสียงลมหายใจตัวเองชัดเจนในหัว
ความเงียบระหว่างก้าวเดินทำให้ทุกเสียงในป่าขยายใหญ่ขึ้น
เรากำลังไปไหน…
ทำไมมันเหมือนก้าวเข้าไปในที่ที่ไม่มีทางออก
อินอยากถามแต่ไม่กล้า
ศิษย์รุ่นพี่คนที่เดินตามหลังถือไม้ยาวเหมือนกระบอง
ทุกครั้งที่เด็กคนใดหันมองหรือเดินช้าเกินไป
กระบองนั้นจะเคาะพื้นเบา ๆ เป็นสัญญาณเตือน
ขุนคีรีเดินนำขบวนอย่างนิ่งสงบ
แต่สายตากวาดมองรอบตัวตลอด
เขารู้ดีว่าเส้นทางนี้เต็มไปด้วยสายตาที่เฝ้ามอง
แม้จะอยู่ลึกในป่า
เสียงนกกลางคืนและแมลงกรีดปีกก็ไม่สามารถกลบเสียงฝีเท้าของผู้ตามรอยได้
ต้องรีบพาเด็กไปถึงถ้ำบรมครูก่อนฟ้าสาง
ไม่งั้นจะมีปัญหา
ขุนคีรีคิดในใจ
เขาหันไปสบตากับศิษย์รุ่นพี่อีกคนที่คุมท้ายแถว
ทั้งคู่สื่อสารกันด้วยสายตาเพียงชั่ววินาที
แล้วหันกลับเดินต่อเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
เส้นทางเข้าสู่ป่าลึกขึ้นเรื่อย ๆ
ต้นไม้สูงใหญ่กิ่งพันกันจนแสงดาวลอดไม่ถึง
อินสะดุดรากไม้หลายครั้งจนหัวเข่าเจ็บ
แต่ไม่กล้าบ่น
เสียงเด็กอีกคนสะอื้นฮัก ๆ ข้างหน้าเพราะเท้าถูกหนามเกี่ยว
เลือดไหลซึม
ศิษย์รุ่นพี่เพียงฉีกผ้าผูกแผลให้คร่าว ๆ แล้วสั่งให้เดินต่อ
ทุกครั้งที่มีเสียงสัตว์ป่าดังขึ้น
เด็กทั้งสี่จะสะดุ้งและเกาะกันแน่น
อินรู้สึกเหมือนทุกก้าวคือการทดสอบความอดทน
ขุนคีรีเดินนำอย่างไม่หยุดพักราวกับรู้เส้นทางดี
แม้เป็นทางที่เด็ก ๆ มองไม่เห็นปลายทาง
อินหอบหายใจหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่ไม่กล้าหยุด
เพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของศิษย์รุ่นพี่ที่คุมท้ายแถว
มันเหมือนสายตาของนักล่าที่รอเหยื่อล้มเพื่อจัดการให้พ้นทาง
เหงื่อเย็นไหลตามขมับแม้อากาศหนาว
อินคิดถึงหลวงตาและแสงเพื่อนสนิทที่ยังหลับอยู่ในหมู่บ้าน
เขาอยากตะโกนขอให้ใครมาช่วย
แต่ในใจรู้ดีว่าคงไม่มีใครกล้า
นี่เราถูกเลือกเพราะกล้าหาญ หรือเพราะสำนักต้องการอะไรบางอย่างจากเรา...
อินเงยหน้ามองขุนคีรีที่เดินนำอยู่ไกล ๆ
แผ่นหลังสูงใหญ่ของเขาดูมั่นคงแต่ก็มีบางอย่างน่ากลัวรอบตัว
อินจำได้ว่าเขาคือคนเดียวที่ช่วยเด็ก ๆ จากโจรป่า
แต่ตอนนี้อินไม่แน่ใจว่าคน ๆ เดียวกันนี้คือผู้ช่วยเหลือหรือผู้พาไปสู่สิ่งที่น่ากลัวกว่า
เสียงกระซิบเหมือนลมพัดลอดต้นไม้เข้าหู
“ถ้ำบรมครูรออยู่…ใครผ่านได้จะได้เห็นโลกใหม่
ใครไม่ผ่าน…”
เสียงนั้นขาดหายไป
อินไม่รู้ว่าเป็นเพียงความคิดตัวเองหรือมีใครกระซิบจริง ๆ
หลังจากเดินต่อเนื่องหลายชั่วยาม
ขบวนหยุดกะทันหัน
ขุนคีรีชูมือให้เงียบ
เขาก้มลงแตะดินแล้วเงยหน้าขึ้นช้า ๆ
ดวงตาคมกริบ
“มีคนตามมา”
เขาพูดเสียงแผ่ว
อินใจเต้นแรง
หันไปมองรอบตัว
เห็นเพียงเงาต้นไม้สูงใหญ่
แต่ได้ยินเสียงกิ่งไม้หักเบา ๆ อยู่ไม่ไกล
ศิษย์รุ่นพี่ที่คุมท้ายแถวชักกระบองออกมาเต็มมือ
สัญญาณเตรียมพร้อมดังขึ้นในความมืด
อินไม่รู้ว่าผู้ตามรอยคือใคร
แต่ลางสังหรณ์บอกว่า
นี่อาจเป็นอันตรายยิ่งกว่าการเดินทางไปถ้ำบรมครูเสียอีก…
เสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้ใกล้กว่าเดิม
ทุกคนหยุดหายใจ
ขุนคีรีส่งสัญญาณให้เด็ก ๆ นั่งยองลงกับพื้น
อินรีบทำตามอย่างเงียบที่สุด
แต่หัวใจเต้นแรงจนได้ยินชัดในหู
เงามืดไหววูบหลังต้นไม้ใหญ่
ศิษย์รุ่นพี่ที่คุมท้ายขยับเข้าใกล้เด็ก ๆ พร้อมกระบองในมือ
อีกคนเลื่อนมือไปแตะด้ามมีดสั้นที่เอว
กลิ่นดินชื้นและลมเย็นพัดแรงเหมือนป่ากำลังบอกให้พวกเขาหนี
แต่ไม่มีใครกล้าขยับ
ใครตามมา...
โจรป่าหรือพวกศัตรูของสำนัก?
อินก้มหน้ากัดฟันแน่น
ความคิดวิ่งวุ่นไม่หยุด
เงาร่างหนึ่งโผล่พรวดออกจากพุ่มไม้!
เด็กคนหนึ่งร้องออกมา
แต่เสียงถูกมือศิษย์รุ่นพี่ปิดไว้ก่อนจะดังเกินไป
ขุนคีรีพุ่งเข้าหาเงานั้นเร็วราวกับลม
เขาล็อกคออีกฝ่ายลงกับดินก่อนจะเห็นชัดว่าเป็นใคร
เด็กหญิงวัยใกล้เคียงกับอิน
ดวงตาแดงก่ำ
น้ำตาเปรอะเต็มแก้ม
เธอสะบัดตัวสุดแรง
“ขอให้ข้าไปด้วยเถอะ!
น้องชายข้าถูกเลือก...ข้าจะไม่ยอมให้เขาไปตายคนเดียว!”
ขุนคีรีไม่พูดอะไร
เขามองเด็กหญิงนิ่งเหมือนชั่งน้ำหนักบางอย่าง
ศิษย์รุ่นพี่อีกคนก้าวมา
“ข้าจะจัดการเอง...”
แต่ถูกขุนคีรีชูมือห้าม
“เจ้ากลับไปหมู่บ้านซะ”
ขุนคีรีพูดเสียงเรียบ
“เส้นทางนี้ไม่ใช่ของเจ้า”
“ไม่! ข้าขอ...”
“กลับไป”
เสียงนั้นดังขึ้นจนป่าทั้งป่าราวกับเงียบลง
เด็กหญิงชะงักไปด้วยความกลัว
ก่อนจะวิ่งหนีหายไปในความมืด
ขุนคีรียืนมองเงาหลังเล็ก ๆ จนลับตาแล้วหันมาหาเด็ก ๆ
“ใครก้าวออกจากเส้นทางนี้
จะไม่มีวันได้กลับมาอีก
จำไว้”
อินรู้สึกถึงน้ำหนักในคำพูดนั้น
มันไม่ใช่คำขู่
แต่เป็นความจริงที่สำนักเขาอ้อยึดถือ
ขบวนเดินต่อท่ามกลางป่าลึกที่หนาวเหน็บ
เด็กหลายคนสะดุดล้มเพราะความเหนื่อย
อินเองก็แทบลากเท้า
แต่เมื่อคิดถึงสิ่งที่ขุนคีรีพูด
เขากัดฟันเดินต่อ
เวลาผ่านไปเหมือนชั่วนิรันดร์
จนกระทั่งมีแสงสลัวเรืองขึ้นที่ปลายทาง
มันไม่ใช่แสงพระจันทร์
แต่เป็นแสงสีทองสั่นไหวเหมือนเปลวไฟที่ลอดออกมาจากใต้ดิน
“ถึงแล้ว”
ศิษย์รุ่นพี่ที่คุมท้ายเอ่ยขึ้น
เด็กทุกคนเงยหน้ามองเห็น
หน้าผาหินสูงตระหง่าน
เบื้องหน้า ปากถ้ำขนาดมหึมาอ้ากว้างราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมกลืนพวกเขาเข้าไป
เสียงลมจากถ้ำเหมือนเสียงหายใจของสิ่งมีชีวิต
มันเย็นและชื้นจนขนลุก
อินกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก
ความกลัวแผ่ซ่านในอกโดยไม่ต้องเห็นอะไรข้างใน
เขารู้สึกเหมือนถ้ำนี้กำลังมองเขาอยู่
นี่คือถ้ำบรมครูที่ทุกคนพูดถึง...
ถ้าผ่านไม่ได้ เราจะตายจริง ๆ หรือ?
อินยืนตัวสั่น
หูได้ยินเสียงกระซิบลอยมากับลมอีกครั้ง
“เข้ามา...หรือจะจบที่นี่”
เขาเหลือบมองเด็กอีกคนที่ยืนข้าง ๆ
เหงื่อเย็นท่วมใบหน้าเหมือนกัน
ไม่มีใครพูดอะไรเพราะกลัวแสดงความอ่อนแอ
อินพยายามยืดตัวให้มั่นคงแต่ขาเหมือนจะไม่ทำตาม
ขุนคีรีก้าวขึ้นไปยืนหน้าปากถ้ำ
ดวงตาคมกริบกวาดมองเด็กทุกคน
“ตั้งแต่นี้ไป
เจ้าจะไม่ใช่แค่เด็กจากหมู่บ้านอีกต่อไป
แต่ต้องพิสูจน์ตัวเองว่า...
มีค่าพอจะเป็นศิษย์สำนักเขาอ้อ”
เขาเอามีดสั้นออกมา
กรีดฝ่ามือของตัวเองจนเลือดไหลลงบนหินตรงหน้าปากถ้ำ
แสงสีทองที่พื้นสว่างวาบขึ้น
พร้อมกับเสียงลึกลับเหมือนคำสวดเก่าแก่ดังจากข้างใน
“ทุกคนต้องก้าวเข้าไปเผชิญกับสิ่งที่ตนกลัวที่สุด
ถ้าเจ้ายังยืนอยู่ข้างในเมื่อรุ่งสาง
เจ้าจะได้เข้าสำนัก
แต่ถ้าออกมาไม่ได้…”
เขาเว้นช่วง
“เจ้าจะไม่กลับออกมาอีกเลย”
เด็กหลายคนตัวแข็งทื่อ
อินหายใจติดขัดเหมือนอกถูกบีบด้วยมือที่มองไม่เห็น
ขุนคีรีหันมาสบตาอินตรง ๆ
“เจ้า…ก้าวเข้าไปเป็นคนแรก”
อินเผลอถอยหลังไปก้าวหนึ่ง
ก่อนที่ศิษย์รุ่นพี่ด้านหลังจะยกกระบองวางพาดไหล่เขาเบา ๆ
เหมือนเตือนว่าไม่มีทางถอย
อินสูดลมหายใจลึก
หยดเหงื่อไหลลงขมับเป็นสาย
และยกเท้าก้าวเข้าไปในความมืดของถ้ำบรมครู…