Call Me Shadow: The Ancient Thai Order – Chapter 8
เรียกข้าว่าเงา Chapter 8: แบ่งสายฝึก
เสียงกลองทุ้มที่ใช้ในพิธีสาบานเลือดยังคงสะท้อนก้องอยู่ในใจ อินรู้สึกเหมือนมันไม่จางหายไปไหนแม้พิธีจะจบลงแล้ว เขายังจำดวงตาลึกของอาจารย์ศรีคงได้ติดตา—สายตาที่เหมือนรู้ทุกความคิด แม้แต่ความลังเลที่เขาไม่อยากให้ใครเห็น
หมอกในลานพิธีค่อย ๆ จางลง เผยให้เห็นลานหินกว้างที่มีศิษย์รุ่นพี่หลายสิบคนยืนเรียงแถวรออยู่ พวกเขาแต่งชุดคลุมสีดำแถบเงิน และแต่ละคนถือไม้พลองหรือดาบสั้นในท่าเตรียมพร้อม อินกับศิษย์ใหม่อีกสิบกว่าคนถูกสั่งให้ยืนเรียงกันตรงกลางเหมือนนักโทษที่รอคำตัดสิน
“อย่าพูดอะไรทั้งนั้น จนกว่าจะถูกถาม” ขุนคีรีสั่งเสียงต่ำ แต่คำสั่งนั้นเหมือนตัดลมหายใจเด็กหลายคนที่ยังกลัวไม่หายจากพิธีเลือด
อินพยายามสูดลมหายใจลึก แต่ความตึงเครียดเหมือนก้อนหินกดทับอยู่ที่อก ถ้าเราผ่านมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ถูกปฏิเสธล่ะ? ความคิดนั้นทำให้มือเขาเย็นชืด
อาจารย์ศรีคงก้าวออกมาจากเงามืดช้า ๆ ดวงตาลึกมองเด็กใหม่ทีละคนราวกับอ่านใจได้หมด ไม่มีใครกล้าขยับแม้แต่นิ้ว เสียงลมผ่านต้นไม้รอบลานดังคล้ายเสียงกระซิบเตือนว่า อย่าทำผิดพลาด
“พวกเจ้าผ่านบททดสอบจิตใจและร่างกายแล้ว” ศรีคงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ “แต่สำนักเขาอ้อไม่ได้มีแค่กำลัง หากเจ้าขาดจริตของสายฝึก เจ้าก็จะไร้ประโยชน์”
เขายกมือชี้ไปทางซ้าย ครูชายร่างสูงใหญ่ยืนรออยู่ ผิวคล้ำแข็งราวกับถูกเหล็กตี ดวงตาคมเหมือนนักล่า “นี่คือ ครูเหรา ผู้ดูแลสายรบ” ศรีคงแนะนำ
ครูเหรายกดาบสั้นขึ้นฟาดอากาศ เสียงดัง วูบ! ราวกับมีแรงลมกดใส่เด็กที่ยืนอยู่แถวหน้า “สายรบต้องใช้กำลังและจิตใจมั่นคง หากเจ้าลังเลแม้ชั่วเสี้ยววินาที เจ้าจะถูกฆ่าในสนามจริง”
ทางขวาเป็นหญิงร่างเพรียวในชุดคลุมสีเทา ดวงตาคมกริบและการยืนที่แทบไม่เกิดเสียง “นี่คือ ครูจันทร์ฉาย ผู้ดูแลสายพราง” ศรีคงกล่าวต่อ
ครูจันทร์ฉายยิ้มบางแต่แฝงความเย็นชา “สายพรางต้องเดินในเงาอย่างแท้จริง เราใช้ความเงียบและการหลอกลวงเป็นอาวุธ ผู้ที่ไม่อาจควบคุมลมหายใจของตัวเองย่อมไม่คู่ควร”
และสุดท้าย ครูร่างท้วมสวมผ้าคลุมสีเขียวเข้มก้าวออกมา เขาถือคัมภีร์หนาและไม้เท้า “นี่คือ ครูมหินทร์ ผู้ดูแลสายข่าว”
ครูมหินทร์มองเด็ก ๆ ด้วยสายตาอ่านยาก “สายข่าวต้องใช้สติและเครือข่าย ไม่ใช่กำลัง หากเจ้าคิดเพียงตัวเอง เจ้าจะตายโดยไม่รู้ว่าใครฆ่า”
อาจารย์ศรีคงเดินช้า ๆ มาหยุดตรงหน้าเด็กชายตัวใหญ่กล้ามหนา เขาจ้องอยู่นานก่อนจะเอ่ยเสียงทุ้ม “เจ้ามีร่างกายเหมาะกับสายรบ…แต่ตาของเจ้าหวั่นไหวเหมือนคนที่กลัวเลือด”
เด็กชายหน้าเสียทันที แต่ศรีคงกลับหมุนตัวไปทางเด็กหญิงร่างเล็ก “และเจ้า…เจ้ามีรูปร่างเหมาะกับสายพราง ทว่าหัวใจเจ้าตื่นตระหนกเกินไป”
เด็กหญิงกัดฟันเหมือนจะร้องไห้ ขณะนั้นศรีคงเหลือบมองอิน ดวงตาคมเหมือนจะตัดสินอะไรบางอย่าง เขาจะโยนเราไปสายไหนกันแน่… อินคิด ใจเต้นแรง
แต่ศรีคงกลับเดินผ่านไปโดยไม่พูดอะไร ทำให้เด็กใหม่เริ่มเดากันเองว่าตนจะถูกจัดอยู่สายใด บางคนพยายามยืดตัวให้ดูเหมาะกับสายรบ บางคนก้มหน้าเงียบหวังให้ไปสายพราง อินยืนแข็งทื่อ ความไม่รู้ทำให้ทุกวินาทีเหมือนนานเป็นชั่วโมง
ศรีคงเริ่มเรียกชื่อเด็กทีละคน ครูแต่ละสายใช้วิธีประเมินไม่เหมือนกัน บางคนถูกถามคำถามกดดัน บางคนถูกให้วิ่ง ทดสอบการเคลื่อนไหวเงียบในเวลาอันสั้น
เด็กหญิงที่ตัวสั่นเมื่อครู่ถูกเรียกก่อน เธอเดินไปยืนต่อหน้าครูจันทร์ฉายและถูกถามเพียงคำถามเดียว “เจ้าสามารถฆ่าใครได้ไหม หากจำเป็น?”
เธอกัดริมฝีปากจนเลือดซึมและพยักหน้า ครูจันทร์ฉายพยักตอบรับ “เจ้าจะไปสายพราง”
เด็กชายตัวใหญ่ถูกส่งไปสายรบ แม้ศรีคงเคยพูดว่าเขาอาจกลัวเลือด แต่ครูเหรากลับหัวเราะเสียงดัง “ยิ่งกลัวเลือด เจ้าก็ต้องเห็นเลือดมากขึ้นเพื่อเลิกกลัว”
การจัดสายดำเนินไปทีละคน ทุกครั้งที่ชื่อถูกเรียก เสียงกลองทุ้มก็ดังขึ้นหนึ่งครั้งเหมือนนับชะตาชีวิต
อินยืนรออย่างใจสั่น มือชื้นเหงื่อ เราจะไปสายไหน…ถ้าไปสายรบ เราจะไหวหรือ? ถ้าไปสายพราง เราไม่เคยเงียบพอที่จะลอบเร้น แล้วถ้าไปสายข่าว…เรายังเด็กเกินไปหรือเปล่า
เขาอยากถาม แต่รู้ว่าห้ามทำให้ศรีคงไม่พอใจ เขาจึงยืนเงียบและเฝ้าดูเพื่อนถูกจัดสายทีละคน ความกดดันบีบแน่นเหมือนเชือกพันรอบอก
จนถึงคิวของอิน ศรีคงหยุดยืนตรงหน้าเขา ดวงตาลึกจ้องมองเหมือนจะมองเห็นทุกสิ่งในใจ “อิน…เจ้าคือเด็กที่พยายามปกป้องคนอื่นแม้ตัวเองจะบาดเจ็บ” ศรีคงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำ
อินกลืนน้ำลาย “ขะ…ขอรับ”
ศรีคงกวาดตามองครูทั้งสามสาย “เจ้าคงอยากไปสายรบเพื่อปกป้องคนอื่น แต่บางทีนั่นอาจไม่ใช่ที่ที่เจ้าคู่ควร”
เสียงกลองดังขึ้นช้า ๆ ทุกคนเงียบกริบเพื่อรอฟังคำตัดสิน อินรู้สึกได้ถึงแรงกดดันที่เหมือนจะบดขยี้กระดูก
ถ้าไม่ได้สายรบ…แล้วข้าจะไปสายไหน?
ศรีคงยืนนิ่งอยู่ตรงหน้าอิน ดวงตาลึกเหมือนกำลังตัดสินบางสิ่งที่สำคัญเกินกว่าชีวิตของเด็กคนหนึ่ง เสียงกลองทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง เสียงเดียวที่ได้ยินท่ามกลางลานเงียบสงัด
“อิน…” ศรีคงพูดช้า ๆ เสียงทุ้มต่ำจนทุกคนก้มหน้าลงโดยไม่รู้ตัว “เจ้ามีหัวใจนักรบ แต่ไม่ใช่ทักษะของนักรบ”
อินเงยหน้าขึ้น ดวงตาเบิกกว้าง ไม่ใช่สายรบ…?
ศรีคงหันไปทางครูจันทร์ฉาย “เจ้าเห็นว่าเด็กนี้คู่ควรกับสายพรางหรือไม่?”
ครูจันทร์ฉายยกมือแตะคาง มองอินอย่างประเมิน “เขามีความเร็ว…แต่เสียงก้าวเท้าของเขาหนักเกินไป หากต้องลอบสังหาร ศัตรูคงได้ยินตั้งแต่สิบก้าวก่อนหน้า”
คำพูดนั้นทำให้ศิษย์ใหม่หลายคนแอบหัวเราะในลำคอ อินก้มหน้ารู้สึกเลือดขึ้นหน้า งั้น…สายพรางก็ไม่ใช่หรือ?
ศรีคงพยักช้า ๆ แล้วหันไปทางครูมหินทร์ สายข่าว “เด็กนี้เหมาะกับสายข่าวหรือไม่?”
ครูมหินทร์จ้องอินเหมือนจะมองทะลุเนื้อหนังไปถึงกระดูก “เขามีสายตาที่อ่านสถานการณ์ได้ แต่…ใจร้อนเกินไป บางครั้งความใจร้อนก่อให้เกิดหายนะในงานข่าว”
อินได้ยินหัวใจตัวเองเต้นแรงเหมือนจะทะลุออกมาจากอก ไม่ใช่ทั้งสามสาย? หรือเราจะถูกปฏิเสธ?
ศรีคงขยับปากเหมือนจะพูดคำตัดสิน แต่กลับหันไปทางศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนเฝ้า “ขุนคีรี เจ้าคิดว่าเด็กนี้สมควรอยู่สายไหน”
ทุกคนหันไปมองขุนคีรีพร้อมกัน สีหน้าศิษย์รุ่นพี่นิ่งเหมือนหิน แต่ในดวงตามีบางอย่างแฝงอยู่ “เขา…ถ้าอยู่สายรบ เขาอาจตายเร็วที่สุด แต่ถ้าอยู่สายพราง เขาอาจทำงานพลาด…”
อินตัวแข็งเมื่อได้ยิน แต่ขุนคีรีหันมาสบตาเขาแล้วพูดคำสุดท้าย “สายข่าว”
เสียงกลองดัง ตึง! ทำให้เด็กใหม่หลายคนสะดุ้ง
ศรีคงพยักหน้า “ตั้งแต่วันนี้ อิน เจ้าจะอยู่สายข่าว ภายใต้การดูแลของครูมหินทร์”
อินเบิกตากว้าง ไม่คิดว่าคำตัดสินจะเป็นเช่นนี้ สายข่าว? เราแทบไม่รู้เรื่องการสืบหรือติดต่อเครือข่ายใด ๆ เลย!
เด็กใหม่บางคนกระซิบกันเบา ๆ “เขาไม่เหมาะกับสายข่าวหรอก…แค่ดูหน้าก็รู้”
ศรีคงยกมือขึ้นและเสียงกระซิบทั้งหมดก็เงียบกริบ “อย่าตัดสินก่อนที่เจ้าจะเห็นว่าใครจะรอดถึงวันสุดท้าย” เสียงทุ้มต่ำของเขาเหมือนดาบกดลงบนหัวใจทุกคน
เด็กหญิงที่ถูกส่งไปสายพรางเหลือบมองอิน สีหน้าปนสงสาร “เขาดูไม่มั่นใจเลย…หวังว่าเขาจะไม่ถอดใจกลางทาง”
เด็กชายสายรบหัวเราะในลำคอ “สายข่าว…งานของคนเก็บเศษข้อมูลที่ไม่มีใครเห็นค่า”
ครูเหรายืนกอดอก มองอินอย่างประเมิน “บางทีศรีคงอาจเห็นอะไรในตัวเด็กนี้ที่เราไม่เห็น”
ขณะเดียวกัน ครูมหินทร์เดินเข้ามาหาอินช้า ๆ “เจ้าอาจคิดว่าเราเลือกผิด แต่หน้าที่ของสายข่าวคืออยู่รอดเมื่อคนอื่นพังพินาศ เจ้าจะต้องเรียนรู้ที่จะใช้สมองก่อนใช้กำลัง”
อินกำหมัดแน่น ยังไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร
ศรีคงประกาศรายชื่อเด็กที่เหลืออย่างต่อเนื่อง เสียงกลองดังขึ้นทุกครั้งที่มีคำตัดสิน บางคนยิ้มโล่งใจเมื่อได้สายที่คาดหวัง บางคนหน้าซีดเผือดเมื่อรู้ว่าต้องไปอยู่สายที่ตนไม่มั่นใจ
“จำไว้ว่าตั้งแต่นี้พวกเจ้าคือศิษย์ของสำนักเขาอ้อเต็มตัว แต่ถ้าใครสอบตกในบททดสอบถัดไป สำนักจะไม่เก็บเศษซาก” ศรีคงประกาศเสียงเข้ม
เด็กหลายคนกลืนน้ำลายแทบไม่ลง ความจริงข้อนี้เหมือนก้อนหินกดทับอยู่บนบ่า
อินยืนแถวสายข่าว ความรู้สึกไม่มั่นใจเกาะกินหัวใจ เราถูกจับมาอยู่สายที่เราแทบไม่เข้าใจเลย นี่คือบทลงโทษเพราะเราไม่เด็ดขาดพอหรือเปล่า…หรือว่าศรีคงต้องการอะไรจากเรา
เขามองเพื่อนใหม่ในสายเดียวกัน บางคนมีสายตาเย็นชาเหมือนปิดกั้นความรู้สึก บางคนมองเขาเหมือนเป็นภาระ อินรู้ทันทีว่าที่นี่ไม่มีใครคอยช่วยให้เขาอยู่รอด
ถ้าเราล้มเหลวอีกครั้ง…เราจะถูกขับออกและคำสาปจะทำให้เราไร้ค่าไปตลอดชีวิต
อาจารย์ศรีคงกวาดตามองศิษย์ทั้งลานครั้งสุดท้าย ดวงตาลึกทำให้ทุกคนก้มหน้าไม่กล้าสบตา
“สามวันถัดไป ครูแต่ละสายจะเริ่มฝึกเจ้า…และเจ้าอาจพบว่าคนข้าง ๆ เจ้าในวันนี้ อาจไม่อยู่ถึงวันพรุ่งนี้”
เสียงกลองทุ้มดังเป็นครั้งสุดท้าย หมอกในลานเริ่มกระจาย อินหันไปมองเด็กใหม่บางคนที่แสดงสีหน้าดูถูกเขาโดยไม่ปิดบัง
นี่หรือคือจุดเริ่มต้นของเพื่อนและศัตรูแรกในสำนักเขาอ้อ…