Black Jasmine: The Phantom Division – Season 1 Chapter 1 (Part1)
เสียงปืนใหญ่คำรามก้อง เหนือแนวป่าเขียวชอุ่มรอบปราสาทพระวิหาร
แรงสั่นสะเทือนกระแทกพื้นจนฝุ่นดินฟุ้ง ผสมกลิ่นดินปืนขมคอ
ร่างทหารหน่วยรบพิเศษไทยหมอบต่ำไปตามซากกำแพงหินโบราณที่พังครืนตั้งแต่ยุคศึกเก่า
“เคลื่อนต่อ!”
ผู้กองนที—ครูฝึกหน่วย SEAL และหัวหน้าชุดปฏิบัติการวันนี้—ออกคำสั่งเสียงต่ำ
สายตาคมกวาดเช็กลูกทีมทั้งเจ็ดที่กระจายกำลังเป็นรูปตัววีตามแผน
“ระวังด้านซ้าย”
เสียงกระซิบจากสิบตรีคงดังแทรกวิทยุ สายตาเขาจับจ้องไปยังพุ่มไม้ที่สั่นไหวแผ่วเบา
ไม่มีเป้าชัดเจน แต่สัญชาตญาณสั่งให้หยุด
นทียกมือส่งสัญญาณ ทุกคนหยุดนิ่ง
คลื่นวิทยุฝ่ายไทยขาดหายเป็นช่วง ๆ เหมือนมีใครตั้งใจรบกวนสัญญาณ
ผู้กองวรุตม์ก้มมองแผนที่ยุทธการบนโต๊ะ
เส้นสีแดงคือแนวรบฝ่ายกัมพูชาที่รุกเข้ามาทีละน้อย เหมือนงูเลื้อย
เสนาธิการวางวิทยุช่องหลักลง แต่สายตากลับเหลือบไปยังเครื่องสื่อสารพกพาขนาดเล็กอีกเครื่องที่วางซ่อนใต้โต๊ะ
เขาปรับคลื่นสั้น ๆ แล้วกดส่งเสียงกระซิบอะไรบางอย่าง
ก่อนรีบหันกลับมาหาวรุตม์ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“หน่วยสืบสวนบอกว่ามันยังไม่รู้ตำแหน่งทีม SEAL ของนทีนะครับ”
เขาพูดราวกับปลอบใจตัวเอง แต่แววตาที่เหลือบมองไปทางจอเรดาร์กลับเย็นเฉียบผิดปกติ
“ฝ่ายตรงข้ามเหมือนรู้ทุกก้าวที่เราจะเดิน”
วรุตม์ไม่ตอบทันที กรามขบแน่น ดวงตายังค้างอยู่บนแผนที่
“นายพลสั่งอย่างไรครับ?” เสนาธิการถามเสียงแผ่ว
วรุตม์เหลือบมองจอวิทยุที่มีแต่เสียงซ่า
“สั่งให้รอ… รอคำสั่งตรงจากกรุงเทพฯ”
เสียงปลายสายเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนปรับสาย
แล้วคำพูดเย็น ๆ ก็ตัดเข้ามา
“อย่าเคลื่อนกำลังไปไหน เรารู้ตำแหน่งพวกเขาดีอยู่แล้ว…แค่รอ”
เขาเงยหน้าขึ้น เสียงในหัวตะโกนคำถามเดียว
ทำไมต้องรอกรุงเทพฯ ทั้งที่ทีมของนทีกำลังอยู่กลางไฟนรก?
“ผู้กอง… มีอะไรแปลก ๆ”
สิบตรีคงกระซิบทางวิทยุ
“เหมือนพวกมันรู้ว่าเราจะผ่านเส้นนี้”
นทีชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนตอบสั้นและหนักแน่น
“ไม่มีทางเลือก… ไปต่อ”
เสียงหวีดปืนใหญ่ฉีกอากาศ!
แรงระเบิดกระแทกพื้นจนโลกสั่นสะเทือน
แสงวาบสีส้มพรึ่บขึ้นเต็มตา
ภาพตัดทันที—
แสงเรดาร์สีเขียวสะท้อนใบหน้าชายปริศนา
เขาเปิดวิทยุสั้น ๆ พลางมองจอดิจิทัล
“พวกมันขยับตรงตามที่เรารู้… ยิงได้เลย”
“รับทราบ” — เสียงตอบกลับเย็นชาเพียงคำเดียว
ตำแหน่งทีม SEAL ปรากฏบนจออย่างแม่นยำเกินไป
ราวกับมีใครป้อนพิกัดให้พวกมันโดยตรง—
ตูม!
แรงระเบิดอีกลูกสั่นสะเทือนทั้งห้อง
ม่านควันสีส้มวาบเข้ากล้อง
ตัดกลับแนวป่า
“ผู้กอง! เราถูกปิดล้อม!”
คงตะโกนสุดเสียง
เสียงปืนกลและระเบิดถาโถมเข้ามาจากทุกทิศ
กิ่งไม้กระจายร่วงเหมือนฝน
นทีฝืนกดสติกลับมา กดตัวต่ำแนบซากกำแพงหิน
สูดหายใจสั้น ๆ เพื่อลดการสั่นของร่างกาย
เขาฟังเสียงปืน
แยกทิศด้วยโสตประสาทซ้าย–ขวา
ตะวันออก — เสียงถี่เกินไป มันดักยิงกดระยะ
ตะวันตก — มีแนวไม้ใหญ่พอใช้เป็นกำบัง แต่ถ้าเคลื่อนผิดจังหวะอาจถูกบีบมุม
เหนือ — ทางลาดขึ้นเนิน มีพงหญ้าหนาทึบช่วยพรางตัว แต่ต้องเคลื่อนเร็วและแตกทีม
หัวใจนทีเต้นแรงจนได้ยินชัดในหน้ากาก
เขานึกถึงใบหน้าลูกสาววูบหนึ่ง แต่รีบสลัดออกเพื่อไม่ให้เสียสมาธิ
เขาชูสองนิ้วให้สัญญาณ “เงียบ” แล้วกำหมัดบอกทีมให้หยุดยิงชั่วครู่
เพื่อฟังความเคลื่อนไหวรอบตัวอีกครั้ง
เสียงรองเท้าศัตรูกำลังขยับบีบวงเข้ามา
นทีมองหน้าคงกับธีรเดชแล้ว เช็กสายตายืนยันระยะพร้อมเคลื่อน
ก่อนกระซิบสั้น ๆ แทบไม่ขยับปาก
“แตกเป็นคู่… หนีขึ้นเหนือ… ห้ามย้อนเส้นเดิม”
มือซ้ายเขาดึงระเบิดควันจากกระเป๋า
ตรวจทิศลมให้แน่ใจว่าลมพัดไปทางตะวันตก
ก่อนโยนออกไปด้านนั้นเพื่อบังสายตาศัตรู
ขณะเดียวกันเขาโบกมือให้คนที่เหลือ เคลื่อนออกด้านข้างเป็นรูปตัว L เพื่อตัดมุมยิง
“ยิงกดสามนัดแล้วเคลื่อน!”
นทีตะโกนสั้น ๆ
เสียง M4A1 ของเขาและปืนลูกทีมดังสอดรับกันเป็นจังหวะ
ชุดละ 2–3 นัดพอให้ศัตรูเงยหัวไม่ขึ้น
ก่อนแต่ละคู่สลับหมอบเคลื่อนสั้น ๆ ไปยังจุดกำบังใหม่
ดินเริ่มถล่มลงจากแรงระเบิด
กระสุนปืนกลไล่ตามราวกับฝนเหล็ก
“อย่าเป็นเป้าใหญ่! กระจายระยะสองเมตรต่อคน!”
นทีสั่ง
พลางกวาดสายตามองหาเส้นทางลัดที่ไม่ถูกคาดเดา
เขาเห็นเถาวัลย์พาดลงจากหน้าผาเตี้ย ๆ ทางเหนือ
“ปีนขึ้นนั่น! ใช้เชือกของชุดรบ! อย่าใช้ทางเดินปกติ มันดักเราอยู่แล้ว!”
เสียงสั่งยังไม่ทันจบ
คลื่นวิทยุก็เงียบกริบ
เหมือนถูกใครจงใจตัดออกจากโลกภายนอก
นทีเหลือบเห็นกระเป๋าเหล็กสีดำกับร้อยตรีธีรเดช
แฟ้มลับ Project Ember
สิ่งเดียวที่เขาต้องปกป้องแม้ต้องแลกด้วยชีวิต
เขาวิ่งไปประกบด้านหลังธีรเดช กดหัวอีกฝ่ายให้ต่ำกว่าระดับอก
“กอดกระเป๋าไว้แน่น ๆ
ถ้าโดนยิง ให้หมุนตัวใช้กระเป๋าบัง...
ห้ามแฟ้มนี้ตกไปอยู่ในมือมันเด็ดขาด!”
“ถ้าแฟ้มนี้หลุด ภารกิจพังหมด”
เขากระชับปืนแน่น
“คง! อยู่กับฉัน!”
ธีรเดชพยักหน้า แต่ยังไม่ทันก้าว
เสียงระเบิดลูกใหญ่ก็ตูมสนั่นด้านหลัง
ดินและเศษไม้ฟาดหน้าเป็นพายุจนภาพพร่าเลือน
เงาร่างหนึ่งโผล่จากป่า ปืนเล็งตรงธีรเดช—
เสียงระเบิดอีกลูกกระแทกพื้นไม่ไกล
ภาพตรงหน้ากลายเป็นโกลาหล
แนวป่ารอบปราสาทพระวิหารถูกเปลวเพลิงกลืน
ทีม SEAL แตกกระจาย บางร่างนอนนิ่งไม่ขยับ
กลางความวุ่นวาย
วิทยุที่ตกอยู่กับดินส่งเสียงภาษาไทยลอดออกมาอย่างเย็นชา:
“งานเสร็จแล้ว… ส่งของให้เขมรตามข้อตกลง”
เสียงปืนกลรัวกระหน่ำซ้ำ
นทีหมอบหลังซากหินพรุนเหมือนรังผึ้ง
กระสุนเฉียดแก้มจนรู้สึกลมกรีด
เขายิงโต้กลับสองนัด เหลือกระสุนไม่ถึงครึ่งแม็กกาซีน
“กระสุนเราจะหมดแล้ว!”
สิบตรีคงตะโกน
ปืนกล M249 ในมือสะดุด ลูกกระสุนป้อนขัดลำกล้อง
“หยุดยิงมั่ว! ยิงเมื่อเห็นเป้าชัดเท่านั้น!”
นทีสบถ
กวาดตารอบตัว เห็นลูกทีมเจ็บนอนกองสองคน
ธีรเดชที่สะพายกระเป๋า Project Ember เลือดไหลท่วมต้นขา
นทีเหลือบตามองกระเป๋าเหล็กนั้นเล็กน้อย
ดวงตาแข็งกร้าวขึ้นเหมือนทุกแรงกดทับโลกถาโถมอยู่ที่วัตถุเพียงชิ้นเดียว
เขากัดฟันแน่น เลือดซึมตามข้อนิ้วที่กุมปืน
ราวกับถ้าปล่อยมือแม้เพียงเสี้ยววินาที ทุกอย่างจะพังครืนลงมา
สายตาของนทีสบกับธีรเดชเพียงแวบเดียว
แต่ความหมายกลับชัดเจน—
นี่คือสิ่งที่พวกเขาต้องปกป้อง แม้ต้องแลกด้วยชีวิต
ที่แนวป่า
ชายในชุดพลเรือนกดวิทยุรายงานเสียงต่ำเป็นภาษาไทย:
“แฟ้มอยู่กับร้อยตรีธีรเดช… ทำให้พวกมันกระจาย เราจะได้ชิงมันง่ายขึ้น”
เสียงตอบกลับจากปลายสายเป็นภาษาอังกฤษสำเนียงเอเชียตะวันออก เย็นจนขนลุก:
“No mistakes. That file is worth more than the temple itself.”
นทีได้ยินเสียงปืนแว่วอยู่รอบด้าน
แต่คำพูดนั้นยังดังชัดในหัว—
คนพูดภาษาไทยคล่อง ทำงานกับผู้ว่าจ้างต่างชาติ
พวกมันเป็นแค่ทหารรับจ้าง หรือมีใครในไทยคอยบงการอยู่เบื้องหลังกันแน่?
“ผู้กอง! ผมเหลือแค่สี่นัด!”
สิบตรีคงตะโกนจากอีกมุม
นทีเช็คแม็กกาซีน เหลือเพียงเจ็ดนัดในปืน
ถ้าหมด เขามีแค่มีดเหน็บข้างขาเป็นอาวุธสุดท้าย
“ย้ายธีรเดชไปจุดนัดพบทางเหนือ!”
เขาสั่งเสียงต่ำชิดฟัน
เขารู้ดีว่าต้องปกป้องแฟ้ม Project Ember มากกว่าตัวเอง
วรุตม์ยืนกดไมค์วิทยุแน่น รายงานเสียงแทบขาดใจ:
“หน่วยนทีถูกปิดล้อม ขออนุญาตส่งกำลังเสริม…”
เสียงปลายสายจากกรุงเทพฯ ตัดบททันที:
“ปฏิเสธคำขอ อย่าให้ทีมเคลื่อนจากจุดเดิม”
วรุตม์หันขวับมองเสนาธิการ
“ทำไมต้องรอคำสั่งส่วนกลาง? พวกเขากำลังจะตายหมดทั้งทีม!”
เสนาธิการชะงักไปเสี้ยววินาที ก่อนก้มหน้าหลบสายตา
มืออีกข้างเผลอปิดแฟ้มเอกสารบนโต๊ะแล้วดันเข้าลิ้นชักรีบร้อนเกินเหตุ
“มีการเมืองมากกว่าที่เราเข้าใจ…”
เขากระซิบแทบไม่ออก น้ำเสียงเหมือนคนที่รู้มากกว่าที่พูด แต่ไม่กล้าพูดต่อ
เสียงปืนเงียบลงเพียงชั่ววินาที
เหมือนทั้งสนามรบหยุดหายใจ
กระสุนของสองฝ่ายใกล้หมดพอดี
นทีเหลือบเห็นเงาศัตรูพุ่งเข้ามา
เขายกปืนเล็งแล้วยิงนัดสุดท้าย—
พลาด!
แรงปะทะทำให้เขาต้องกระโจนประชิด
ใช้มีดฟันสวนเต็มแรง แต่ถูกศัตรูผลักกระเด็นจนหัวกระแทกพื้นอย่างแรง
ศัตรูเล็งปืนใส่ธีรเดชที่นอนบาดเจ็บกอดกระเป๋า Project Ember ไว้แน่น
“หนีไปผู้กอง!”
ธีรเดชตะโกน พลางกดไกปืนจนกระสุนหมด
เสียงคลิกแห้ง ๆ ดังก้องกลางป่า
เสียงนั้นเหมือนปลดล็อกสัญชาตญาณดิบ
นทีคำรามลึกในลำคอ พุ่งเข้าฟันคอศัตรูเต็มแรง
เลือดกระเซ็นอาบใบหน้า
เขากระชากปืนขึ้นมาอีกครั้ง…
แต่กระสุนในรังเพลิงหมดสิ้น
ทันใดนั้น เสียงระเบิดลูกใหญ่กรีดอากาศ
ฝุ่นดินสั่นสะเทือนทั้งแนวป่า
ดินถล่มปิดทางเหนือสนิท
นทีรู้ทันที—พวกมันกำลังปิดเส้นถอยของทีม
...เขาหอบหายใจแรงเหมือนปอดจะระเบิด
หันไปมองธีรเดชที่เลือดนองเต็มตัว
และกระเป๋า Project Ember ที่เปรอะเลือดไปทั้งใบ
เสียงภาษาไทยจากวิทยุศัตรูดังลอดเข้ามาอีกครั้ง เย็นชาอย่างตั้งใจ:
“ยึดแฟ้มมาให้ได้ ไม่ต้องเหลือใคร”
นทีเงยหน้าขึ้นมองรอบตัว
ทีมของเขาเหลือรอดไม่ถึงครึ่ง
ใครเป็นเพื่อนหรือศัตรู… เขาไม่มั่นใจอีกต่อไป
และที่เลวร้ายที่สุด—
เขารู้สึกว่า คนที่กำลังล่าอยู่ใกล้กว่าที่คิด
— ยังไม่จบ... ภารกิจยังดำเนินต่อไป —