It’s Your Business – เรื่องของนาย : Chapter 2
เรื่องของนาย – ตอนที่ 2: ซองเอกสารที่หายไป
      อินยืนค้างอยู่หน้าลิ้นชักโต๊ะทำงานที่ถูกเปิดออก
      ของข้างในกระจัดกระจาย
      ซองเอกสารสีน้ำตาลที่เขาซ่อนไว้เมื่อคืน…หายไปแล้ว
    
      หัวใจเขาเต้นแรงราวจะหลุดออกจากอก
      แต่ยังไม่ทันได้ตั้งสติ เสียงใครบางคนดังขึ้นข้างหลัง
    
“อิน เข้าห้องประชุมกับเราหน่อยสิ”
      อินสะดุ้งเฮือก หันไปเห็นพี่เมย์ ฝ่าย HR ยืนอยู่
      สีหน้าเธอเรียบเฉย แต่แววตาเหมือนรู้ทุกอย่าง…
      หรือรู้มากกว่าที่เขาคิด?
    
      “เธอรู้มากเกินไปจะไม่ดีนะ…เข้าใจไหม?”
      คำพูดนั้นทำให้ขาอินแทบหมดแรง
      แต่เขาก็จำใจเดินตามไปที่ห้องประชุมเล็ก
      ด้วยความรู้สึกเหมือนกำลังเดินเข้าไปในห้องพิพากษา
    
      ห้องประชุมชั้น 23 มีเพียงอินและพี่เมย์ นั่งหันหน้าเข้าหากัน
      เสียงนาฬิกาแขวนผนังดังชัดทุกวินาที
      ติ๊ก…ติ๊ก…ติ๊ก…
      เสียงที่ดังเหมือนจังหวะหัวใจที่กำลังจะหยุดเต้น
    
      “มีคนเห็นเธอเดินไปโซนฝ่ายบริหารเมื่อวาน”
      พี่เมย์เปิดประเด็นอย่างช้า ๆ ราวกับกำลังค่อย ๆ ดึงเส้นด้าย
      “เธอไปทำอะไรตรงนั้น?”
    
      อินกลืนน้ำลาย
      “ผม…หลงทางครับ พอดีไปส่งเอกสารแล้วหาทางออกไม่เจอ”
    
      พี่เมย์จ้องเขานิ่ง
      ดวงตาที่ดูเรียบเฉย แต่แฝงไว้ด้วยความเย็นชา
    
      “หลงทางเหรอ…”
      เธอหยุดชั่วครู่ ก่อนจะถามต่อ
      “แล้วเธอเจออะไรบ้างหรือเปล่า?”
    
      อินรีบส่ายหน้า
      “ไม่ครับ!”
    
      เธอถอนหายใจ ราวกับผิดหวังในความไม่ซื่อสัตย์ของโลก
      “อิน เราจะเตือนเธอไว้แค่นี้—
      อย่ายุ่งกับเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง
      เพราะถ้ารู้มากเกินไป มันจะไม่ดีต่ออนาคตของเธอ
      เข้าใจใช่ไหม?”
    
อินพยักหน้าหงึก ๆ ไม่กล้าสบตา
      ก่อนออกจากห้องประชุม พี่เมย์ทิ้งท้ายเสียงเย็น
      “แล้วก็…อย่าบอกใครว่ามีการคุยเรื่องนี้ เข้าใจไหม?”
    
      อินก้าวออกมาด้วยหัวใจที่หนักกว่าเดิม
      เหมือนแบกภูเขาทั้งลูกไว้บนบ่า
    
พอกลับมาที่โต๊ะทำงาน พลอยกับต้นก็โผล่มาพร้อมกัน
“เฮ้ย หายไปไหนวะ? เห็น HR เรียกไป” — ต้นถาม สีหน้าดูเป็นห่วงจริง ๆ
      “เออ เราเริ่มกลัวแล้วนะ จะโดนดุอะไรหรือเปล่า?” — พลอยถามต่อ
      มือเธอยังถือขนมปังราคา 10 บาทที่เพิ่งซื้อตอนเช้า
    
      อินฝืนยิ้ม
      “ไม่มีอะไรหรอก แค่ถามเรื่องงานนิดหน่อย”
    
“แน่นะ? เห็นหน้าเธอซีดเหมือนเพิ่งโดนผีหลอกมาเลย” — ต้นแซว แต่เสียงไม่ค่อยขำ
      พลอยขมวดคิ้ว มองหน้าอินนานจนเขาเริ่มทำตัวไม่ถูก
      ก่อนเธอจะยื่นขนมปังมาเกือบจิ้มหน้าเขา
    
“งั้นกินนี่หน่อย จะได้ไม่ซีดเหมือนแผ่นกระดาษ”
      อินถอยหลังนิด ๆ
      “เฮ้ย เดี๋ยวขนมเลอะเสื้อเรา”
    
“ก็รีบกินสิ จะได้ไม่เลอะ” — พลอยทำตาโตใส่เหมือนจะบังคับ
อินเลยต้องยื่นมือไปรับ
      ต้นหัวเราะเบา ๆ
      “เฮ้ย ๆ พวกเธอสองคน นี่มันซีนป้อนข้าวแฟนชัด ๆ”
    
      “บ้า!” — อินเผลอพูดเสียงดังเกินไป หน้าร้อนวูบขึ้น
      รีบก้มลงกินขนมเพื่อกลบเกลื่อน
    
      พลอยหัวเราะคิก ก่อนเปลี่ยนเป็นยิ้มจาง ๆ
      “เอางี้นะ อิน…ถ้ามีอะไรที่เรา หรือพวกเราช่วยได้ก็บอก
      อย่าเก็บไว้คนเดียว”
    
      เสียงนั้นนุ่มจนอินต้องเงยหน้าขึ้นมา
      เขามองเพื่อนทั้งสองคนสลับกัน
      รู้สึกเหมือนมีกำแพงบางอย่างรอบตัวถูกผลักออกไปชั่วครู่
    
      แต่ความอบอุ่นนั้นก็ถูกทำลายทันที
      เมื่ออินเผลอสังเกตเห็นใครบางคนเดินผ่านไปช้า ๆ ตรงทางเดินด้านหลัง
      คุณภักดี — หัวหน้าแผนกบัญชี
      ผู้ชายวัยกลางคนที่ทุกคนไว้ใจ
    
      เขาหันมามองอินเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะเดินไป
      พออินสบตา ก็เหมือนเขาเมินทำเป็นไม่รู้จัก
    
      เขาดูเหมือนรู้อะไรบางอย่าง…หรือเราคิดไปเอง?
      อินขนลุกวาบ แต่ไม่กล้าบอกเพื่อน
    
      ตกเย็น อินกลับห้องเช่าเล็ก ๆ ที่อยู่นอกเมือง
      ห้องกว้างไม่ถึงยี่สิบตารางเมตร
      เต็มไปด้วยของใช้เก่าที่ซื้อต่อมา
    
เขาถอดกระเป๋าลงบนเตียง ก่อนหยิบโทรศัพท์โทรหาน้องสาวที่ต่างจังหวัด
      “พี่อิน! ทำงานเหนื่อยไหม?” — เสียงใส ๆ ของ “แก้ม” น้องสาววัยสิบขวบ
      ทำให้เขายิ้มออกได้แม้ในวันที่มืดมนที่สุด
    
“ก็เหนื่อยนิดหน่อย แต่พี่โอเค น้องล่ะ ตั้งใจเรียนไหม?”
“ตั้งใจ! แต่อยากให้พี่กลับบ้านจังเลย”
      อินเงียบไปชั่วครู่
      “อีกหน่อยพี่จะมีเงินมากขึ้น แล้วเราจะได้อยู่ด้วยกันนะ”
    
      เขากดวางสายแล้วมองเพดานห้อง
      น้ำตาเอ่อขึ้นเล็กน้อย
    
      เขาทำงานหนักเพราะอยากให้แก้มได้เรียนดี ๆ
      ไม่ต้องลำบากเหมือนเขา
      และนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขากลัว…
      เพราะถ้าถูกเลิกจ้างตามเอกสารนั้น
      เขากับน้องจะอยู่ยังไง?
    
      ค่ำคืนนั้น พลอยส่งข้อความมาหาอิน
      “อิน เรารู้ว่าเธอไม่โอเคนะ อย่าเก็บไว้คนเดียวเลย
      มานั่งกินอะไรที่ร้านหน้าปากซอยเราปะ? แค่เราสามคน”
    
อินลังเล แต่สุดท้ายก็เดินไปเจอเพื่อน
      ร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ ที่พลอยกับต้นนั่งรออยู่
      เต็มไปด้วยคนทำงานหน้าตาเหนื่อยล้า
      กลิ่นกระเทียมเจียวกับน้ำซุปโชยมาแตะจมูก
    
      อินนั่งลงตรงเก้าอี้เหล็กตัวเก่า
      พลอยยื่นหมูทอดร้อน ๆ ให้ทันที
    
“เธอดูเหมือนไม่ได้กินข้าวเลย เอาไปเถอะ เราซื้อมาเผื่อ”
      อินยังไม่ทันรับ พลอยก็ยกชิ้นหมูจ่อปากเขา
      “อ้าปาก!”
    
“เฮ้ย เดี๋ยวเลอะสิ!” — อินเบิกตา รีบเอนไปด้านหลัง
“เลอะก็ซักได้ อย่าดื้อ” — พลอยทำตาเขียวใส่ เหมือนพี่สาวที่คุมเด็กดื้ออยู่
      ต้นหัวเราะเสียงดัง
      “นี่มันซีนเลี้ยงลูกหรือป้อนแฟนวะเนี่ย”
    
      อินหน้าแดงวูบ รีบแย่งชามหมูทอดไปจากมือพลอย
      “กินเองก็ได้เว้ย!”
    
      พลอยยิ้มขำ ๆ แต่แอบกระซิบเสียงเบา
      “ก็ดี จะได้ไม่ผอมจนหายไปเลย”
    
      อินเงยหน้ามองเธอโดยไม่ตั้งใจ
      ความอบอุ่นบางอย่างแทรกเข้ามาในหัวใจ
    
      ต้นเอื้อมมาตักน้ำซุปให้ พลางพูดเสียงนุ่มกว่าเดิม
      “เราไม่รู้ว่าเธอเจออะไร แต่จำไว้นะ
      พวกเราสามคนก็เหมือนเรือลำเดียวกัน
      ถ้าโดนคลื่นซัด เราก็ต้องช่วยกันพาย”
    
      คำพูดนั้นเหมือนน้ำที่หล่อเลี้ยงหัวใจ
      อินกลืนก้อนสะอื้นลงคอ
      มองเพื่อนทั้งสองคนสลับกัน
    
พวกเขายิ้มเหมือนปกติ แต่ในแววตามีทั้งความห่วงใยและความล้าของชีวิต
“ขอบคุณนะ…” — อินพูดเสียงเบา
      บรรยากาศที่ดูผ่อนคลายเพียงครู่เดียวก็พลันเปลี่ยน
      เมื่อสายตาอินเผลอเหลือบไปเห็นรถเก๋งสีดำคันหนึ่งจอดอยู่ไม่ไกล
      กระจกมืดทึบเหมือนมีใครนั่งอยู่ข้างใน
    
แต่พอเขากระพริบตาอีกที รถคันนั้นก็แล่นออกไปอย่างเงียบเชียบ
      หัวใจอินเต้นแรงขึ้นอีกครั้ง…
      เราถูกจับตาอยู่หรือเปล่า?
    
      หลังแยกย้ายกลับบ้าน อินเดินคนเดียวผ่านตรอกแคบ ๆ
      แต่ความรู้สึกแปลก ๆ ทำให้เขาหยุดกะทันหัน
      เสียงรองเท้าหนังดังเบา ๆ ตามมา
    
เขาหันไปมอง แต่ไม่เห็นใคร
      หัวใจเต้นแรงเหมือนตอนที่พี่เมย์เตือนในห้องประชุม
      มีคนตามเราหรือเปล่า?
    
      อินรีบเดินเร็วขึ้นจนถึงห้องเช่า ปิดประตูล็อกแน่น ก่อนนั่งลงพิงผนัง
      เรื่องนี้มันเกินตัวเราไปแล้วแน่ๆ…
      แต่ถ้าเงียบ เราจะปลอดภัยจริงเหรอ?
    
      คืนนั้น อินเปิดโทรศัพท์ดูรูปน้องสาวและข้อความเพื่อนในไลน์ซ้ำ ๆ
      เขาไม่อยากให้ใครต้องมาเดือดร้อน
    
แต่ทุกอย่างกำลังบีบคั้นจนแทบหายใจไม่ออก
      และแล้วโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง
      เลขหมายไม่คุ้นเหมือนเมื่อคืนก่อน
    
      เสียงปลายสายพูดเพียงประโยคเดียว
      “อย่าคิดบอกใครเรื่องนั้น…นี่คือคำเตือนครั้งสุดท้าย”
    
แล้วสายก็ตัดไป
      เช้าวันถัดมา อินมาถึงออฟฟิศเร็วกว่าปกติอีกครั้ง
      แต่วันนี้บรรยากาศในชั้น 23 กลับต่างออกไป
      มันเงียบและตึงเครียดราวกับมีใครปิดเสียงคนทั้งออฟฟิศ
    
เครื่องถ่ายเอกสารดังเป็นจังหวะเดียวที่ทำให้ที่นี่เหมือนยังมีชีวิต
พนักงานบางคนเดินก้มหน้า บางคนคุยกันเสียงเบา ๆ เหมือนกลัวมีใครได้ยิน
      อินก้าวไปที่โต๊ะทำงาน
      แอบสังเกตว่ามีคนจากฝ่ายบริหารเดินเข้าออกห้องประชุมใหญ่บ่อยกว่าปกติ
      และหนึ่งในนั้นคือ คุณภักดี
    
      เขายังคงดูสุขุม ใส่สูทเรียบกริบ
      มีรอยยิ้มบาง ๆ ทักทายทุกคนอย่างเป็นมิตร
    
      แต่พอหันมาเจอสายตาของอิน
      เขากลับเพียงพยักหน้าแล้วเดินผ่านไปเหมือนคนไม่รู้จัก
    
เขาต้องรู้อะไรบางอย่างแน่ๆ…หรือเขามีส่วนกับเอกสารนั้น?
“อิน! มานี่หน่อย” — เสียงพลอยเรียกจากมุม Break Room
อินเดินตามไป พลอยกับต้นยืนรอพร้อมกาแฟสามแก้วและขนมปัง
      “วันนี้หน้าดูไม่ดีเลยนะเธอ” — พลอยยื่นกาแฟให้อิน
      “กินอะไรบ้างหรือยัง?”
    
“ยัง…” — อินตอบเสียงแผ่ว
      ต้นตบไหล่เขา
      “เฮ้ย ไม่เป็นไรนะเว้ย
      ถึงจะไม่รู้ว่าเกิดอะไร แต่พวกเราก็อยู่ตรงนี้”
    
      อินเงยหน้ามองเพื่อน
      ทั้งคู่ไม่ได้หัวเราะเหมือนเคย
      แต่แววตากลับเต็มไปด้วยความจริงใจ
    
      เขาพยายามกลั้นไม่ให้เผลอพูดทุกอย่างออกมา
      “ขอบคุณนะ…เราโอเค แค่เครียดเรื่องงานนิดหน่อย” — อินโกหกเล็ก ๆ
    
      “งั้นวันนี้ไปกินข้าวเย็นกันอีกนะ” — พลอยพูด
      “เราไม่อยากให้เธอกลับไปนั่งเหงาที่ห้อง”
    
      อินพยักหน้าช้า ๆ
      ความอบอุ่นที่ได้รับจากเพื่อนเหมือนทำให้ลมหายใจกลับมาเป็นจังหวะ
    
ตอนบ่าย ออฟฟิศเริ่มมีเสียงซุบซิบแผ่ว ๆ แพร่ไปทั่ว
      “เฮ้ย ได้ยินยัง มีข่าวลือว่าจะมีการเลิกจ้างรอบใหญ่…”
      “จริงเหรอ? แล้วใครโดนบ้าง?”
    
      อินนั่งฟังอยู่เงียบ ๆ มือเย็นจนเหงื่อซึม
      เขารู้ว่าข่าวลือไม่ใช่แค่ข่าว…
      เพราะเขาเห็นเอกสารนั้นกับตา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
    
      แล้วเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นเหนือเสียงซุบซิบทั้งหมด
      “ทุกคน…เข้าห้องประชุมหน่อยครับ”
    
      เป็นเสียงคุณภักดี
      เขายืนอยู่หน้าห้องประชุมใหญ่
      สีหน้าเหมือนเดิม ยิ้มบางอย่างสุภาพจนแทบดูปลอมไม่ออก
    
      พนักงานต่างเดินตามกันไป
      อินเองก็จำใจต้องไปด้วย
    
      คุณภักดียืนอยู่กลางห้องประชุมใหญ่
      เขาพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล ราวกับกำลังปลอบเด็ก
    
      “ขอบคุณทุกคนที่มารวมตัวกันนะครับ
      วันนี้เรามีประกาศเรื่องโครงสร้างใหม่ของบริษัท
      แต่ยังไม่ใช่สิ่งที่สรุปแล้วแน่นอน
      ทุกคนไม่ต้องกังวลเกินไป”
    
คำว่า “ไม่ต้องกังวล” ยิ่งทำให้พนักงานหลายคนหน้าเสีย
      อินแอบมองรอบห้อง
      เห็นพี่เมย์จาก HR ยืนอยู่มุมหนึ่ง
      และมีผู้บริหารชั้นสูงอีกสองสามคนที่ไม่ค่อยโผล่มาในชั้นนี้บ่อยนัก
    
นี่มันไม่ใช่การประชุมปกติแน่ๆ
      หลังการประชุม ทุกคนกลับไปที่โต๊ะตัวเอง
      บรรยากาศตึงเครียดกว่าเดิม
    
อินเห็นเพื่อนบางคนหน้าเศร้า บางคนถึงกับแอบร้องไห้
อินกลับมานั่งเงียบ พลอยกับต้นรีบมานั่งข้าง ๆ
      “เฮ้ย ฟังแล้วโคตรน่ากลัวเลย” — พลอยพูดเบา ๆ
      “เรายังต้องผ่อนบ้านให้แม่อยู่ ถ้าโดนเลิกจ้างจะทำยังไงวะ”
    
      ต้นเองก็ก้มหน้า
      “กูต้องจ่ายค่าน้องเรียนพิเศษด้วยว่ะ อิน…คิดไม่ออกเลยถ้าโดน”
    
      อินมองเพื่อนทั้งสองคน
      รู้สึกเหมือนถูกบีบหัวใจ
      เขาอยากบอกว่ารายชื่อในเอกสารมีคนที่พวกเขารู้จัก
      แต่ถ้าพูดตอนนี้อาจทำให้ทุกคนแตกตื่น
    
      เขาจำมือแน่น
      เราไม่อยากให้ใครเดือดร้อนเพราะเรา
    
      เย็นวันนั้นขณะเก็บของ
      อินสังเกตเห็นคุณภักดียืนคุยกับใครบางคนในเงามืดใกล้ลิฟต์ชั้นผู้บริหาร
      เขาไม่เห็นหน้าคนที่อีกฝ่ายคุยด้วย
      แต่ได้ยินคำพูดแว่ว ๆ
    
“ให้เร็วที่สุด…อย่าให้มีใครรู้ก่อนเวลา”
      คำพูดนั้นทำให้อินตัวชา
      เขาหลบตา รีบเดินผ่านไปเหมือนไม่ได้ยินอะไร
    
แต่เขารู้แล้วว่าเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแค่การปรับโครงสร้างธรรมดา
      เมื่อออกจากออฟฟิศ อินนั่งรถเมล์กลับห้องเช่าอย่างเงียบ ๆ
      เขาเปิดโทรศัพท์ดูข้อความจากน้องสาวอีกครั้ง
    
“พี่อิน เราอยากให้พี่กลับบ้านเร็วๆ”
      อินหลับตา
      ความเหนื่อยและความกลัวถาโถมเข้ามาพร้อมกัน
    
เราต้องหาทางทำอะไรสักอย่าง ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป
      แต่เขาไม่รู้เลยว่า…
      มีใครบางคนเดินตามเขามาตั้งแต่ออกจากออฟฟิศ…
    
 
