Call Me Shadow: The Ancient Thai Order – Chapter 6
เรียกข้าว่าเงา Chapter 6: ด่านร่างกาย
เสียงฝีเท้าของเด็ก ๆ ที่รอดออกมาจากถ้ำบรมครูยังคงสั่นไหวบนพื้นดิน พวกเขาหอบหายใจเหมือนเพิ่งหลุดจากขุมนรก แต่สิ่งที่รออยู่ตรงหน้ากลับทำให้หัวใจเต้นแรงยิ่งกว่าเดิม
หน้าผาหินสูงตระหง่านเบื้องหน้าดูเหมือนกำแพงที่กั้นขวางเส้นทางทั้งหมด แสงจันทร์สลัวทำให้เงาของหน้าผาดูยาวและเย็นราวกับสัตว์ร้ายที่กำลังเฝ้ามองเหยื่อ ขุนคีรีหันกลับมามองกลุ่มเด็ก ดวงตาคมกริบเหมือนกดน้ำหนักลงไปในหัวใจของทุกคน
“ไม่มีเวลาให้พัก” เขาพูดสั้น ๆ เสียงเรียบแต่ทรงพลัง “นี่คือด่านร่างกาย…ใครไม่ไหว สามารถหยุดได้ แต่จงรู้ไว้ว่า ถ้าเจ้ายอมแพ้ตอนนี้ เจ้าจะไม่ได้กลับมาเป็นศิษย์อีกตลอดชีวิต”
อินหอบหายใจแรง ความเหนื่อยล้ายังเกาะติดหลังจากผ่านด่านจิตใจ แต่เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ขาก็แข็งทื่อเหมือนถูกตรึงไว้ ถ้าถอยตอนนี้…เราจะถูกลบชื่อไปตลอดกาล?
เด็กหญิงที่รอดออกมาพร้อมอินก้มหน้ามองหน้าผา ดวงตาแดงก่ำเพราะร้องไห้ทั้งคืน เธอกระซิบเสียงแผ่ว “ข้า…ไม่คิดว่าจะมีอะไรยากไปกว่าถ้ำบรมครู แต่ดูหน้าผานี้สิ”
เด็กชายอีกคนกัดฟันแน่น มือที่จับหินจนเลือดซึมตั้งแต่ด่านที่แล้วสั่นเทา “ไม่ว่ามันจะสูงแค่ไหน ข้าก็จะปีน ข้าไม่ยอมตายเป็นคนไร้ค่าเหมือน…” เสียงเขาสะดุด เหมือนนึกถึงเด็กที่หายไปในถ้ำแต่ไม่กล้าพูดออกมา
ศิษย์รุ่นพี่ที่คุมท้ายขบวนมองภาพทั้งหมดด้วยสายตาเย็นชา บางคนจบที่นี่เสมอ…พวกเขายังไม่รู้ว่าหลังจากปีนหน้าผานี้ยังมีอีกสองด่านที่โหดกว่า
อินยืนเงยหน้ามองหน้าผาที่สูงชันจนแทบมองไม่เห็นปลายสุด หัวใจเต้นแรงเหมือนกลองรบ นี่เราจะปีนมันได้จริง ๆ หรือ? มือยังมีรอยเลือดจากด่านที่แล้ว เขารู้ว่าถ้าพลาดเพียงก้าวเดียวอาจตกลงไปและจบชีวิตที่นี่
เขากัดฟันคิดถึงแสง เพื่อนที่ไม่เคยมีโอกาสแม้แต่จะได้ถูกเลือกเข้ามา “ข้าจะไม่เป็นอีกคนที่หายไป” อินพึมพำกับตัวเองก่อนจะจับหินเย็นเฉียบขึ้นปีน
ทุกก้าวเต็มไปด้วยแรงสั่นของกล้ามเนื้อ ความหนาวจากหินซึมเข้ากระดูก มือเริ่มชาแต่ไม่สามารถปล่อยได้ ถ้าปล่อย…ก็ตาย
ระหว่างปีนขึ้น อินเหลือบเห็นเงาของอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่เหนือหน้าผา เงานั้นไม่ใช่ศิษย์รุ่นพี่ เพราะมันเร็วและเงียบเกินไป
พวกเขาปล่อยให้เราปีนหน้าผาโดยไม่รู้เลยหรือว่า…มีใครกำลังรอฆ่าอยู่ด้านบน?
เขาอยากถาม แต่หากพูดออกไปจะทำให้เพื่อน ๆ ข้างล่างเสียขวัญ เขาจึงเก็บคำถามนั้นไว้ในใจ ความไม่แน่ใจกลายเป็นก้อนแข็งในอกที่กดทับจนหายใจลำบาก
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากด้านล่าง อินเผลอหันไปมอง เด็กชายคนหนึ่งที่ปีนตามหลังพลาดตกลงไป เสียงกระแทกพื้นด้านล่างดังสนั่น แต่ไม่มีใครกล้ามองลงไปเพราะรู้ว่ามันหมายถึงอะไร
ขุนคีรีไม่ได้ขยับไปช่วยแม้แต่น้อย เพียงตะโกนสั้น ๆ “ปีนต่อไป ใครหยุดจะตกตามไปอีกคน”
อินรู้สึกถึงเหงื่อไหลผสมเลือดจากมือที่สั่น เขามองหน้าผาด้านบนที่ยังอีกยาวไกลและถามตัวเองในใจ
เราจะตายก่อนถึงยอด…หรือด่านนี้จะพาเราไปเจอสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม?
อินกัดฟันดึงตัวขึ้นจนมือเกือบหมดแรง เหลือเพียงหนึ่งช่วงแขนถึงยอดหน้าผา เขาได้ยินเสียงฝีเท้าเบา ๆ จากด้านบนใกล้เข้ามา
ทันใดนั้นใบมีดสั้นแวบลงมาจากเงามืดเฉียดหูไปเพียงคืบ อินชะงัก หัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ
ใครกัน…ใครอยู่บนนั้น?
เขากัดฟันเหนี่ยวตัวขึ้น แต่ยังไม่รู้เลยว่าเมื่อก้าวเท้าถึงยอดหน้าผา เขาจะเจอคนของสำนัก…หรือศัตรูที่รอจู่โจม
อินดึงร่างตัวเองขึ้นถึงยอดหน้าผาได้สำเร็จ หัวใจเต้นแรงเหมือนจะระเบิด มือที่เกร็งจนชาแทบจับอะไรไม่อยู่ เขากวาดตามองรอบตัว แต่ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น
แล้วใครที่ปามีดใส่ข้าเมื่อครู่…?
เสียงฝีเท้าของเด็กหญิงและเด็กชายที่ปีนตามขึ้นมาดังขึ้นข้างหลัง อินช่วยดึงพวกเขาให้พ้นขอบผา ทุกคนหน้าซีดเผือดเพราะเห็นเพื่อนตกลงไปตายข้างล่าง แต่ไม่มีเวลาพูดอะไร ขุนคีรีที่ปีนขึ้นมาตามหลังสั่งเสียงเข้ม
“อย่ามองกลับไป! ไปต่อ”
อินลังเลแต่ต้องเดินตาม เส้นทางข้างหน้าเป็นลานหินแคบทอดยาวไปสู่แม่น้ำเชี่ยวกรากที่มีเพียงเชือกเส้นเดียวพาดข้าม ไม่มีสะพาน ไม่มีที่ยึดเกาะอื่น
เด็กหญิงตัวสั่นจนแทบยืนไม่ไหว “พวกเราต้อง…ข้ามไปจริง ๆ เหรอ”
ขุนคีรีพยักหน้าเพียงครั้งเดียว “ใครตกลงไปในน้ำนี้จะไม่มีวันโผล่ขึ้นมาอีก จงเลือกเอาเองว่าจะข้ามหรือหยุดที่นี่”
อินจ้องไปที่เชือกเหนือแม่น้ำเชี่ยว ความสูงและเสียงน้ำกระแทกหินดังสนั่นทำให้ขาแทบหมดแรง แค่ลื่นเพียงครั้งเดียว เราก็ตาย…
เขากลืนน้ำลายจนคอแห้ง ความกลัวจากการปีนหน้าผายังไม่ทันหายก็ต้องเจอสิ่งที่เสี่ยงตายกว่าเดิม อินถามตัวเองในใจ นี่คือด่านสุดท้ายของร่างกายหรือยัง…หรือยังมีสิ่งที่เลวร้ายกว่านี้รออยู่?
ก่อนจะก้าวขึ้นเชือก อินเหลือบเห็นเงาดำวิ่งตัดผ่านฝั่งตรงข้าม เงามั้นไวและเงียบเหมือนสิ่งที่ปามีดใส่เขาบนหน้าผา
“มีคนอยู่ตรงนั้น!” อินตะโกน แต่ขุนคีรีเพียงหันไปสบตาและพูดเสียงเย็น
“เจ้ากำลังเห็นสิ่งที่อยากเห็น…หรือสิ่งที่มันอยากให้เจ้าเห็น?”
คำพูดนั้นทำให้อินชะงัก เขามองไปอีกครั้ง เงาดำหายไปเหมือนไม่เคยมีอยู่ ทำให้เขาไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เห็นเป็นเรื่องจริงหรือภาพหลอน
ขุนคีรีเป็นคนแรกที่ไต่เชือกข้ามไปด้วยความมั่นคง ก่อนจะตะโกนกลับมา “ตามมา!”
เด็กชายอีกคนกัดฟันตามไปเป็นคนถัดไป เขาพยายามเกาะเชือกแน่น แต่พอถึงกลางทางมือเริ่มลื่น น้ำเชี่ยวกระแทกแรงจนร่างเหวี่ยงเกือบตก อินรีบตะโกน “เกาะให้แน่น!” แต่ไม่ทัน เสียงกรีดร้องดังขึ้นราวกับถูกดึงลงไปในห้วงลึก เด็กชายหายไปกับกระแสน้ำ
เด็กหญิงที่รอดเพียงคนเดียวตัวสั่นหนัก “ไม่…ไม่ไหวแล้ว ข้าจะตกตายแน่ ๆ”
อินจับมือเธอแน่น “ฟังข้า อย่าปล่อยมือเด็ดขาด!” เขาช่วยประคองให้เธอขึ้นเชือก และพยายามไปพร้อมกันทีละก้าว แม้เสียงน้ำเชี่ยวจะดังกดดันเหมือนปีศาจ
อินเกือบพลาดตกหลายครั้ง แต่เขากัดฟันไม่ยอมแพ้ ในที่สุดทั้งคู่ก็ข้ามไปถึงฝั่ง ขุนคีรีดึงขึ้นมาด้วยมืออันแข็งแรง ดวงตาของศิษย์รุ่นพี่มองทั้งสองคนอย่างเคร่งขรึม
“พวกเจ้ารู้หรือยังว่าเหตุใดสำนักจึงไม่ต้องการคนที่ยอมแพ้” เขาถาม แต่ไม่รอคำตอบ
ทันใดนั้นเสียงกิ่งไม้หักดังขึ้นจากป่าริมแม่น้ำ ขุนคีรีหันขวับไปพร้อมกับดึงมีดสั้นออกมา อินกับเด็กหญิงชะงัก หัวใจเต้นแรงเมื่อเห็นเงาร่างสูงใหญ่สองคนยืนอยู่ใต้เงาต้นไม้
“ใครกัน!” ขุนคีรีตะโกน แต่เงานั้นไม่ตอบ เพียงถอยหลังเข้าไปในป่าช้า ๆ และหายไป
อินหันไปมองขุนคีรี แต่ศิษย์รุ่นพี่เพียงส่ายหน้า “อย่าตาม…ถ้าพวกมันอยากให้เราตาย เราคงตายไปแล้ว”
คำพูดนั้นทำให้อินยิ่งรู้สึกหนาวเย็น เขายังจำมีดที่เฉียดหูบนหน้าผาได้ดี แต่ไม่มีคำตอบว่าใครหรืออะไรทำ
ขุนคีรีพาเด็กทั้งสองเดินต่อบนทางแคบที่ปูด้วยแผ่นเหล็กร้อนจากกองไฟใต้พื้น กลิ่นเนื้อไหม้จากเท้าเปล่าของผู้ที่เดินก่อนหน้าลอยอบอวล อินกัดฟันก้าวไปแต่ละก้าวเหมือนถูกไฟเผา
เสียงร้องของเด็กหญิงดังขึ้นเมื่อเธอล้มลงบนเหล็กร้อน อินหันไปประคองเธอ แต่ขุนคีรีตะโกน “อย่าหยุด! ใครหยุดจะไม่รอดทั้งคู่!”
อินกัดฟันยกตัวเด็กหญิงขึ้นพาเดินต่อ ขณะที่ขาของตัวเองเหมือนถูกเผาไหม้ทีละชั้น เขาเงยหน้ามองแสงสว่างที่ปลายทาง
นี่คือจุดจบของด่านร่างกาย…หรือจุดเริ่มต้นของบางสิ่งที่เลวร้ายกว่า?
เขาก้าวสุดท้ายไปยังพื้นดินธรรมดา ร่างทั้งคู่ทรุดลงทันที ก่อนจะเห็นชายสูงวัยในชุดผ้าฝ้ายสีหม่นยืนรออยู่เบื้องหน้า ดวงตาลึกเหมือนมองทะลุทุกอย่าง
“เจ้าคือครูบาใหญ่…อาจารย์ศรีคง” ขุนคีรีพึมพำเสียงต่ำ
อินเงยหน้าขึ้นทันที ดวงตาของชายชราเต็มไปด้วยพลังที่ไม่อาจอธิบาย เขาพูดเพียงคำเดียว
“ลุกขึ้น…เพื่อพิธีสาบานเลือดเงา”