Call Me Shadow: The Ancient Thai Order – Chapter 2
เรียกข้าว่าเงา – Chapter 2: ข่าวลือสำนักในเงา
เช้าวันรุ่งขึ้น
หมอกหนาเกาะแน่นทั่วหมู่บ้านชายป่า
เหมือนเมื่อคืนไม่มีวันสิ้นสุด
เสียงซุบซิบดังแว่วตามทางดินแคบ ๆ
ที่เชื่อมบ้านเรือนไม้แต่ละหลัง
บางเสียงแผ่วเบาราวกับกลัวถูกใครได้ยิน
“เมื่อคืนมีคนเห็นเงาดำใต้ต้นโพธิ์หน้าวัด”
หญิงชราหลังค่อมพูดกับเพื่อนบ้านขณะกวาดลานบ้าน
“บอกว่าตัวสูงใหญ่เหมือนผีป่ามายืนมองกุฏิเด็กวัด”
“อย่าพูดไปเรื่อย ยาย! พวกนั้นไม่ใช่ผี แต่เป็นคนของ...สำนักเขาอ้อ”
อีกคนกระซิบ กวาดตามองรอบตัวก่อนโน้มหน้าเข้ามาใกล้
“ข้าว่าเจ้าเด็กชื่ออินนั่นแหละที่มันหมายตาไว้”
ชื่อของอินทำให้บทสนทนาหยุดชั่วครู่
หญิงชราอีกคนถอนหายใจ
“ถ้าเป็นสำนักเขาอ้อจริง ๆ เราก็ต้องปล่อยไปนะ ใครขวางพวกนั้นเคยได้ตายดีที่ไหน”
เสียงพึมพำเหล่านี้ลอยเข้าหูอินที่เดินถือถังน้ำผ่าน
เขาก้มหน้ากัดฟันแน่น
ไม่กล้าหันไปสบตาใคร
เด็กบางคนที่เคยวิ่งเล่นกับเขายังเบือนหน้าหนี
อินรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนนอกของหมู่บ้านโดยสมบูรณ์
ในเพิงขายของกลางหมู่บ้าน
กลุ่มชายสูงวัยกำลังถกเถียงกันเสียงดัง
เสียงของ ลุงมั่น เจ้าของเพิงดังที่สุด
“สำนักเขาอ้อมีจริง! สมัยข้ายังเด็ก ข้าเห็นกับตา
ศิษย์พวกนั้นเดินข้ามไฟเหมือนเดินบนดิน
บางคนมีดฟันไม่เข้า!”
ชายอีกคนส่ายหัวแรง
“มันก็แค่พวกเล่นของเล่นไสยดำแหละวะ!
ใครไปยุ่งก็ซวย ชาวบ้านหายไปไม่รู้กี่คนแล้ว”
“แต่พวกนั้นช่วยปกป้องหัวเมืองใต้ไม่ให้ถูกปล้นสมัยศึกเจ้าเมืองนะลุงมั่น”
คนหนุ่มที่นั่งฟังเถียงขึ้น
“ถ้าสำนักเขาอ้อไม่ใช่เรื่องจริง
เหตุใดโจรป่าถึงกลัวพวกนั้นนัก?”
เสียงเถียงกันระงม
อินนั่งอยู่มุมเพิงเงียบ ๆ
ฟังทุกคำเหมือนก้อนหินกดทับในอก
เขารู้สึกอยากถามว่าทำไมต้องพาดพิงถึงเขา
แต่ความกลัวสายตาของผู้ใหญ่ทำให้เขานั่งกอดเข่าเงียบแทน
ขณะชาวบ้านยังถกเถียงเรื่องตำนาน
ศิษย์สำนักเขา้อสองคนในชุดผ้าฝ้ายสีหม่น
กำลังเดินผ่านป่ารอบหมู่บ้านอย่างเงียบกริบ
พวกเขาแฝงตัวตามร่มเงาต้นไม้ใหญ่
ดวงตาคมกวาดมองบ้านแต่ละหลัง
ราวกับกำลังค้นหาใครบางคน
ค่ำวันนั้น
ครอบครัวหนึ่งที่มีลูกชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับอิน
ได้ยินเสียงเคาะประตูแผ่ว ๆ ตอนทุกคนกำลังเข้านอน
พ่อบ้านถือไฟดวงเล็กเดินไปเปิดประตู...
แต่ไม่เห็นใคร
มีเพียงถุงผ้าสีดำวางอยู่ตรงธรณี
ในถุงมีแผ่นไม้เล็ก ๆ
สลักสัญลักษณ์ประหลาดและเส้นด้ายสีแดง
พ่อบ้านหน้าซีดเผือดทันที
“นี่มัน...”
เขาหันไปมองภรรยาและลูกชายที่ยืนตัวสั่นด้านหลัง
“พวกนั้นมารับตัวลูกเราแล้วใช่ไหมพ่อ”
ภรรยากระซิบเสียงสั่น
พ่อบ้านไม่ตอบ
เขาเพียงกำหมัดแน่น
น้ำตาไหลเงียบ ๆ
เพราะรู้ดีว่าเมื่อสัญลักษณ์นี้ถูกส่งมา
ครอบครัวไม่มีสิทธิ์ปฏิเสธ
ข่าวเรื่องถุงผ้าสีดำแพร่กระจายรวดเร็ว
ชาวบ้านต่างพากันกระซิบชื่อของเด็กชายที่ถูกเลือกคนต่อไป
และทุกคนรู้สึกถึงเงาที่คืบคลานเข้าใกล้หมู่บ้าน
มากขึ้นเรื่อย ๆ
อินนั่งอยู่ในกุฏิเล็กของวัด
มองเปลวตะเกียงวูบไหว
ความเงียบยามค่ำทำให้เสียงซุบซิบของชาวบ้านเมื่อเช้ายังดังอยู่ในหัว
สำนักเขาอ้อ...มันคืออะไรกันแน่
ทำไมทุกคนกลัวนัก
เขาเผลอยกมือแตะรอยแผลที่ฝ่ามือ
ความรู้สึกเหมือนเมื่อคืนมีใครยืนมองอยู่ใต้ต้นโพธิ์ยังติดอยู่ในใจ
อินไม่รู้ว่าตัวเองถูกเลือกหรือไม่
แต่เขารู้ว่าบางอย่างกำลังจะเกิดขึ้น
และมันใหญ่เกินกว่าที่เด็กวัดอย่างเขาจะหลีกเลี่ยงได้
เสียงหมาเห่าหอนดังขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้อินแน่ใจว่าได้ยินเสียงฝีเท้าลากผ่านหลังคากุฏิ
ร่างเล็กขยับไปชิดผนัง
หัวใจเต้นแรง
แต่ไม่มีใครโผล่เข้ามา
เสียงกระซิบเหมือนลมพัดลอดหน้าต่างไม้เข้ามาแผ่ว ๆ
“อิน...”
อินสะดุ้งเฮือก
หันขวับไปทางเสียง
แต่กลับเห็นเพียงเงาเคลื่อนไหวเลื่อนผ่านต้นโพธิ์อีกครั้ง
นี่พวกมันกำลังเฝ้าข้าอยู่หรือ?
กลางคืนหมู่บ้านชายป่าดูเงียบผิดปกติ
ลมพัดเสียงใบไม้เสียดสีกันเหมือนเสียงกระซิบของใครหลายคน
ชาวบ้านบางคนจุดตะเกียงเพิ่มทั้งที่ฟ้าปลอดโปร่ง
เพราะกลัวเงามืดที่ไม่มีใครมองเห็น
“ข้าว่าเมื่อคืนพวกมันเข้ามาในหมู่บ้านอีกแน่ ๆ”
หญิงชรานั่งข้างกองไฟในลานกลางหมู่บ้าน กระซิบกับเพื่อนบ้าน
“ยายเคยเห็นกับตาเมื่อสมัยสาว ๆ
ศิษย์สำนักเขาอ้อเหยียบพื้นไม่ดังเสียง
เดินข้ามแม่น้ำเหมือนเดินบนแผ่นดิน
มีตาเหมือนเสือ...เห็นทุกอย่างแม้อยู่ในความมืด”
ชายวัยกลางคนที่นั่งฟังส่ายหน้าแรง
“นั่นมันตำนานเก่าแล้วแม่เฒ่า
มันก็แค่พวกเล่นของ เล่นไสยดำ”
“แต่เจ้าจำเรื่องเจ้าเมืองตะกั่วป่าที่ถูกสังหารทั้งค่ายเมื่อสิบปีก่อนไม่ได้รึ?”
อีกคนพูดแทรก
“เขาว่ามีศิษย์สำนักเขาอ้อแฝงเข้าไป
คืนเดียวศัตรูหายไปทั้งกอง
เหลือแต่รอยยันต์เผาไว้กลางลาน”
บรรยากาศรอบกองไฟเงียบลงทันที
ทุกคนต่างนึกถึงภาพรอยยันต์ลึกลับที่เล่าขาน
ไม่มีใครอยากเอ่ยชื่อสำนักเขาอ้อดัง ๆ
เหมือนกลัวจะเรียกพวกนั้นมา
อินนอนขดอยู่บนเสื่อผืนเก่าในกุฏิวัด
เสียงซุบซิบของชาวบ้านที่ได้ยินกลางวันยังวนในหัว
ศิษย์สำนักเขาอ้อเหยียบพื้นไม่ดังเสียง...
เห็นทุกอย่างในความมืด...
เขากลืนน้ำลาย
ความกลัวและความสงสัยปะปนกัน
อินอยากถามหลวงตาแต่ก็ไม่กล้า
เพราะแม้แต่พระในวัดก็หลบเลี่ยงเรื่องนี้เสมอ
ลมพัดหน้าต่างไม้ให้สั่นจนเกิดเสียงเอี๊ยดอ๊าด
อินสะดุ้งลุกขึ้นนั่ง
เขารู้สึกเหมือนมีเงาอยู่ใกล้ ๆ จนขนลุกไปทั้งตัว
หูได้ยินเพียงเสียงหัวใจตัวเองดังในอก
ทันใดนั้น
เสียงกระซิบแผ่วเหมือนลอยตามลมเข้ามา
“อิน...”
เด็กชายเงยหน้ามองรอบห้อง
ดวงตาเบิกกว้าง
แต่ไม่เห็นใคร
เขาก้าวลงจากเสื่อช้า ๆ
ย่องไปที่หน้าต่าง
เงามืดเลื่อนผ่านต้นโพธิ์ด้านนอกอย่างเงียบงัน
เหมือนเงานั้นรู้ว่าเขากำลังมองอยู่
และจงใจให้เห็น
อินถอยหลังไปชนผนัง
ใจเต้นแรง
พวกมันกำลังเฝ้าข้าอยู่จริง ๆ
คืนนั้น
ครอบครัวอีกสองบ้านได้รับ “ถุงผ้าสีดำ”
เหมือนบ้านแรก
มีแผ่นไม้สลักสัญลักษณ์และด้ายแดงอยู่ข้างใน
พ่อบ้านบางคนกล้าหยิบออกมาแล้วโยนทิ้ง
แต่พอตื่นเช้ามา
เขากลับพบแผ่นไม้เดิมวางอยู่หน้าบ้านเหมือนเดิม
ราวกับไม่เคยถูกแตะต้อง
ข่าวลือแพร่กระจายรวดเร็ว
ชาวบ้านเริ่มนับจำนวนครอบครัวที่ได้รับสัญลักษณ์
และกระซิบกันว่ามีคนถูกเลือกเพิ่มอีกสามคนภายในคืนเดียว
บางคนแอบพาลูกหลบหนีไปหมู่บ้านใกล้
แต่มีคนเห็นรอยเท้าหยุดที่ขอบป่า
และไม่มีใครเจอตัวพวกเขาอีกเลย
“มันไม่ใช่แค่คนธรรมดาแน่ ๆ”
ลุงมั่นพูดกับกลุ่มชายหนุ่มตอนกลางวัน
ดวงตาเขาเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ใครถูกเลือก...พวกนั้นจะมารับตัวกลางคืน
ไม่มีใครเคยขัดได้
ทุกคนที่หายไป ไม่มีใครกลับมา”
ชายหนุ่มคนหนึ่งพยายามแย้ง
“บางทีพวกนั้นอาจแค่รับไปฝึกวิชา”
“วิชาอะไรที่ต้องใช้เลือดสาบานกัน!”
ลุงมั่นตะโกนจนคนรอบข้างสะดุ้ง
“ข้าเคยเห็นกับตา
ศิษย์สำนักเขาอ้อกรีดเลือดลงยันต์
พอคนนั้นทรยศกลับมา
วิชาที่เรียนมาหายไปหมด
ร่างกายเหี่ยวเหมือนคนตายทั้งเป็น!”
คำพูดนั้นทำให้กลุ่มชายหนุ่มเงียบสนิท
เสียงลมที่พัดผ่านต้นไม้ดังเหมือนเสียงลมหายใจของบางสิ่ง
อินยืนฟังอยู่ข้างกำแพงไม้โดยที่ไม่มีใครเห็น
มือเล็ก ๆ กำแน่นจนเหงื่อซึม
นี่คือที่ที่พวกมันจะพาข้าไปหรือ...
คืนนั้นอินพยายามฝืนตาไม่ให้ปิด
แต่ในที่สุดก็เผลอหลับไปบนเสื่อ
เขาสะดุ้งตื่นเพราะรู้สึกเหมือนมีใครแตะไหล่เบา ๆ
เมื่อดวงตาปรับแสงได้
เขาเห็นชายในชุดผ้าฝ้ายสีหม่นยืนเงียบอยู่ปลายเสื่อ
ดวงตาคมกริบมองตรงมา
ใบหน้าปิดด้วยผ้าดำ มีเพียงรอยสักยันต์เรืองแสงบนหน้าผาก
“ถึงเวลาแล้ว อิน”
เสียงทุ้มแผ่วเหมือนมาจากที่ไกล
แต่ดังชัดในหัว
อินลุกขึ้นช้า ๆ
ร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสะกด
ไม่ทันได้หันไปมองหลวงตาหรือใครในวัด
ชายลึกลับก็หันหลังเดินออกไปยังเงามืดใต้ต้นโพธิ์
เขาหยุดและหันมาพูดอีกครั้ง
“อย่าขัดขืน...เพราะคนที่ขัด
ข้าไม่เคยได้เจออีก”
อินยืนนิ่ง มือสั่น
ก้าวแรกออกจากกุฏิ
รู้สึกเหมือนก้าวข้ามเส้นชีวิตเดิมไปตลอดกาล