Call Me Shadow: The Ancient Thai Order – Chapter 7
เรียกข้าว่าเงา Chapter 7: พิธีสาบานเลือดเงา
ลานกว้างที่ปลายเส้นทางเต็มไปด้วยหมอกขาวลอยต่ำ ไฟคบเพลิงรอบลานส่องแสงสลัวสะท้อนเงาของต้นไม้ใหญ่ที่โอบล้อมอยู่รอบด้าน บรรยากาศเงียบจนได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง ศิษย์รุ่นพี่หลายคนยืนเรียงแถวสองฝั่งทางเข้าสวมผ้าคลุมดำ หน้าขาวซีดราวกับรูปสลัก
เด็กที่รอดจากด่านร่างกายถูกพาเข้าไปทีละคน อินเดินตามหลังเด็กหญิงที่ยังมีบาดแผลเต็มเท้า เสียงขุนคีรีพูดสั้น ๆ ก่อนแยกไปยืนข้างหนึ่ง “ตั้งแต่ก้าวเข้าไป เจ้าจะอยู่ต่อหน้า ครูบาใหญ่ศรีคง …จงรู้ไว้ว่าเขาเห็นทุกสิ่งในใจเจ้า”
อินรู้สึกเหมือนมีน้ำหนักกดที่บ่าทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น
ชายชราร่างสูงผอมยืนกลางลานอย่างนิ่งสงบ ผิวคล้ำราวกับผ่านแดดฝนมานับศตวรรษ ผมขาวยาวถูกรวบไว้ด้านหลัง ดวงตาลึกเป็นประกายเหมือนสามารถมองทะลุทุกสิ่ง เขาเฝ้ามองเด็กที่เดินเข้ามาอย่างช้า ๆ
อีกหนึ่งกลุ่มที่ผ่านการทดสอบ…พวกเขาแตกต่างจากรุ่นก่อนอย่างไร? หรือสุดท้ายก็ต้องถูกกรองเหมือนกัน ศรีคงคิดกับตัวเอง เสียงกลองทุ้มดังเป็นจังหวะช้า ๆ ที่สั่งให้หมอกในลานขยับราวกับมีชีวิต
“จงคุกเข่าลง” ศรีคงพูดเสียงเรียบ แต่คำพูดนั้นเหมือนคลื่นพลังที่กดให้เด็กทุกคนทรุดลงทันที ไม่มีใครกล้าขัดขืน
ศิษย์รุ่นพี่คนหนึ่งที่ยืนดูอยู่มองภาพนี้ด้วยสายตาเย็นชา ทุกครั้งที่เห็น ข้าก็ยังขนลุก…พลังของครูบาใหญ่ไม่เคยลดลงเลยสักนิด
เด็กหญิงข้างอินตัวสั่น มือกำชายเสื้อแน่น “ถ้าเราพูดผิดไปคำเดียว…เขาจะฆ่าเราหรือเปล่า” เธอกระซิบแผ่ว ๆ แต่ไม่มีใครตอบ
เด็กชายอีกคนก้มหน้าไม่กล้าสบตา เขายังจำภาพเพื่อนที่ตกหน้าผาได้ และรู้ว่าถ้าไม่ผ่านพิธีนี้ อาจต้องเจอจุดจบที่เลวร้ายกว่า
กลางลานมีแท่นหินสูงแกะสลักเป็นลวดลายยันต์โบราณ แสงคบเพลิงสะท้อนทำให้รอยแกะดูเหมือนกำลังเคลื่อนไหว ศรีคงก้าวขึ้นแท่นถือมีดสั้นด้ามทองคำที่สลักสัญลักษณ์เงา
“เจ้าทุกคนต้องสาบานเลือดต่อสำนักเขาอ้อ” ศรีคงประกาศ เสียงกลองทุ้มดังขึ้นช้า ๆ แต่ละจังหวะเหมือนกระแทกลงบนหัวใจเด็ก ๆ
“ใครลังเล…ใครตั้งใจทรยศ…” ศรีคงหยุดนิ่งแล้วเงยหน้ามองฟ้า “เลือดเจ้าจะเป็นตราประทับคำสาป เจ้าจะไม่มีวันใช้วิชาได้อีก และชื่อของเจ้าจะหายไปจากโลกนี้”
อินกลืนน้ำลายจนคอแห้ง ภาพคำสาปที่ศรีคงพูดทำให้ขนลุกซู่ไปทั้งตัว นี่ไม่ใช่แค่พิธี…นี่คือเส้นแบ่งระหว่างชีวิตกับความตาย
เขามองเด็กหญิงข้าง ๆ ที่ตัวสั่นจนเห็นได้ชัด อินถามตัวเองว่า ถ้าเธอหรือข้าถอย…เราจะถูกสาปตายต่อหน้าทุกคนหรือไม่?
ศรีคงยื่นมีดสั้นมาให้เด็กคนแรกที่คุกเข่า ดวงตาของชายชราแหลมคมจนเด็กคนนั้นสั่นไปทั้งร่าง “กรีดเลือดของเจ้าและกล่าวคำสาบาน…ถ้าลิ้นเจ้าสั่นเพียงคำเดียว เจ้าจะล้มลงต่อหน้าเรา”
เด็กคนนั้นมือสั่นจนมีดแทบหลุด อินมองภาพนี้เหมือนกำลังดูอนาคตของตัวเอง ถ้าถึงคิวเรา…เราจะทำได้หรือไม่?
เสียงกลองทุ้มดังขึ้นอีกครั้ง หมอกเริ่มเคลื่อนไหวเหมือนจะกลืนเด็กคนแรกที่ลุกไม่ขึ้น
เสียงกลองทุ้มดังขึ้นเรื่อย ๆ ลึกและหนักจนอกของอินสั่นตามจังหวะ เด็กคนแรกที่ถูกเรียกคุกเข่าเบื้องหน้าอาจารย์ศรีคง มือสั่นจนแทบถือมีดไม่ไหว ดวงตาของศรีคงจับจ้องไม่กะพริบ ราวกับมองลึกเข้าไปในวิญญาณ
“จงกล่าวคำสาบาน…” ศรีคงพูดเสียงเรียบ แต่คำพูดนั้นเหมือนกดน้ำหนักลงบนหัวไหล่ของเด็กคนนั้น จนร่างทั้งร่างสั่นยิ่งกว่าเดิม
เด็กคนนั้นกรีดฝ่ามือตามคำสั่ง เลือดหยดลงบนแท่นหิน แสงยันต์บนพื้นสว่างวาบราวกับรับรู้คำสาบาน ก่อนที่เขาจะตะโกนออกมาเสียงสั่น “ข้าขอสาบานต่อเงา…จะซื่อสัตย์ต่อสำนักเขาอ้อ ตลอดชีวิต!”
ศรีคงก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วถอนสายตา เสียงกลองหยุดชั่วครู่ เด็กคนนั้นถึงได้หายใจโล่ง แต่ใบหน้าเขายังซีดเผือดเหมือนเพิ่งรอดจากความตาย
เด็กหญิงที่ยืนถัดไปตัวสั่นจนริมฝีปากขาวซีด เธอกัดฟันจนเลือดซึม “ข้าจะ…ทำได้หรือไม่” เธอถามเบา ๆ ไม่มีใครตอบ
เด็กชายอีกคนที่เหลือก้มหน้าต่ำ ถ้าเราพูดผิดแม้แต่คำเดียว เราอาจตายต่อหน้าเขา ความคิดนี้ทำให้เหงื่อไหลท่วมหลังทั้งที่อากาศเย็นจัด
ศิษย์รุ่นพี่ที่ยืนเฝ้ามองมุมปากยกขึ้นเล็กน้อย นี่คือเหตุผลที่สำนักเรายืนอยู่ได้มาหลายร้อยปี ไม่มีที่ว่างให้คนอ่อนแอ
ศรีคงก้าวลงจากแท่นหินช้า ๆ และเดินผ่านหน้าศิษย์ใหม่ทีละคน ทุกก้าวเหมือนทำให้พื้นสั่น ดวงตาลึกของเขากวาดมองอย่างช้า ๆ
“เจ้าทุกคนที่ยืนอยู่ที่นี่…” เสียงทุ้มต่ำดังสะท้อนรอบลาน “…ต้องรู้ไว้ว่าคำสาบานนี้ไม่เพียงผูกพันเจ้า แต่จะกัดกินเจ้าถ้าคิดทรยศ”
เขาหยุดตรงหน้าเด็กหญิงที่กำลังตัวสั่น ดวงตาคมเหมือนมองทะลุหัวใจของเธอ “ถ้ากลัว…จงออกไปเสียตอนนี้ แต่จำไว้ว่าเจ้าจะไม่มีวันใช้วิชาใด ๆ ได้อีกตลอดชีวิต”
เด็กหญิงเงยหน้ามองศรีคง ดวงตาเต็มไปด้วยน้ำตา เธอสั่นไปทั้งร่างแต่กัดฟันตอบ “ข้า…ข้าจะอยู่!”
ศรีคงยื่นมีดสั้นให้ เธอกรีดฝ่ามือด้วยแรงทั้งหมด เลือดหยดลงแท่นหิน เสียงกลองดังขึ้นอีกครั้ง แสงยันต์สว่างวาบทำให้เธอร้องออกมา แต่ยังคุกเข่าอยู่ไม่ขยับ
อินยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมด ใจเต้นแรงจนเหมือนจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ ต่อไปคือตัวเรา ความคิดนี้ทำให้เขาแทบหายใจไม่ออก
เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ เมื่อศรีคงหันสายตามาหา ดวงตานั้นเหมือนดึงอินเข้าไปในความมืดที่ไร้ก้นบึ้ง
“เจ้าคือเด็กจากหมู่บ้านชายป่า…อิน ใช่หรือไม่” ศรีคงถามเสียงเรียบ อินพยักหน้าช้า ๆ แต่ในใจเต็มไปด้วยคำถาม เขารู้ชื่อข้าได้อย่างไร?
“เจ้าจะภักดีต่อสำนักเขาอ้อหรือไม่”
คำถามนี้เหมือนกรีดใจ อินรู้ว่าถ้าตอบไม่ตรง เขาอาจถูกคำสาปต่อหน้าทุกคน แล้วถ้าสำนักนี้ไม่ใช่สิ่งที่ข้าคิดล่ะ…ถ้าวันหนึ่งข้าไม่อยากอยู่ที่นี่อีก? ความลังเลพุ่งขึ้นมาเหมือนมีใครกระซิบในหู
ศรีคงก้าวเข้ามาใกล้ ดวงตาคมมองลึกเข้าไปในจิตใจอิน “ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังคิดอะไร…แต่จำไว้ว่ามีเพียงผู้ที่ยอมฝากชีวิตให้สำนักเท่านั้น ที่จะก้าวต่อไปได้”
อินกำมีดสั้นแน่นจนมือสั่น นี่คือเส้นแบ่งชีวิตกับความตาย…ข้าจะทำได้หรือไม่?
เสียงกลองดังขึ้นเร่งจังหวะ หมอกเริ่มเคลื่อนไหวเหมือนจะโอบล้อมอิน ศรีคงเอ่ยเสียงทุ้มต่ำที่ทำให้หัวใจหยุดเต้น
“เลือดเจ้าจะเป็นคำตอบสุดท้าย…อิน จงกรีดมันเดี๋ยวนี้ และกล่าวคำสาบาน”
อินยกมีดขึ้น มือสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ ดวงตาของศรีคงจ้องเขาเหมือนนักล่าจ้องเหยื่อ
ถ้าข้าลังเลแม้แต่วินาทีเดียว…จะเกิดอะไรขึ้นกับข้า?